การศึกษาปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อประสิทธิภาพการทำงานจากที่บ้านในยุคปรกติใหม่: กรณีศึกษา บริษัทบริหารสินทรัพย์แห่งหนึ่ง

การวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์ (1) เพื่อเปรียบเทียบประสิทธิภาพการทำงานจากที่บ้าน (Work from home) จำแนกตามปัจจัยส่วนบุคคล (2) เพื่อศึกษาอิทธิพลการยอมรับเทคโนโลยีต่อประสิทธิภาพการทำงานจากที่บ้าน (Work from home) กรณีศึกษา บริษัทบริหารสินทรัพย์แห่งหนึ่งในประเทศไทย กลุ่มตัวอย่างคือ พนักงานของบริษัทบริหารสินทรัพย์แห่งหนึ่งทุกสาขาในประเทศไทย จำนวน 305 คน เครื่องมือที่ใช้เก็บข้อมูลคือ แบบสอบถาม สถิติที่ใช้คือ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานสถิติวิเคราะห์ความแตกต่าง สถิติวิเคราะห์ความแปรปรวน และการวิเคราะห์ความถดถอยเชิงพหุคูณ
ผลการศึกษาพบว่า ผู้ตอบแบบสอบถามในการศึกษาครั้งนี้ ส่วนใหญ่อยู่ในช่วงอายุต่ำกว่า 30 ปี หรือเทียบเท่า มีสถานภาพโสด ระดับการศึกษาสูงกว่าปริญญาตรี ตำแหน่งพนักงาน และมีอายุงานอยู่ระหว่าง 1-5 ปี ผู้ตอบแบบสอบถามยอมรับเทคโนโลยีโดยรวม อยู่ในระดับมาก เรียงลำดับค่าเฉลี่ยจากมากไปน้อย คือ การรับรู้ประโยชน์ (Perceived usefulness) การรับรู้ความง่าย (Perceived ease of use) ด้านทัศนคติต่อการใช้งาน (Attitude toward using) ด้านการสนับสนุนจากองค์กร (Perceived organization Support) ตามลำดับ ผลการทดสอบสมมติฐาน พบว่า (1) ลักษณะส่วนบุคคล ประกอบด้วย อายุ ระดับการศึกษา ตำแหน่งงาน ที่แตกต่างกันส่งผลต่อประสิทธิภาพการทำงานที่บ้านไม่แตกต่างกัน ต่างจาก สถานภาพ ที่แตกต่างกันส่งผลต่อประสิทธิภาพการทำงานที่บ้านแตกต่างกันอย่างมีนัยทางสถิติที่ระดับ 0.05 (2) สำหรับการทดสอบอิทธิพลการยอมรับเทคโนโลยีต่อประสิทธิภาพการทำงานจากที่บ้าน (Work from home) พบว่า ด้านการรับรู้ความง่าย ด้านทัศนคติ และด้านการสนับสนุนขององค์กร มีอิทธิพลต่อประสิทธิภาพการทำงานจากที่บ้าน (Work from home) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติระดับ 0.05 ในขณะที่ด้านการรับรู้ประโยชน์ ไม่มีอิทธิผลต่อประสิทธิภาพการทำงานจากที่บ้าน (Work from home)