บุญกฐินฮีตเดือนสิบสอง

บุญกฐิน หรือบุญเดือนสิบสอง หนึ่งในฮีตฮอยท้องถิ่นอีสานเดือนสุดท้ายของปีทางจันทรคติ จัดเป็นสังฆกรรมประเภทกาลทานหรือการทานตามกาลสมัยตามพระวินัยบัญญัติเถรวาท มีกำหนดเวลาในการทำบุญกฐินเพียงแค่ 1 เดือนเท่านั้น คือ ระหว่างวันแรม 1 ค่ำเดือน 11 ถึงวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 12  และมีความเชื่อว่าการทำบุญกฐินจะได้อานิสงค์ผลบุญมากทั้งผู้ถวายและพระสงฆ์ผู้รับผ้ากฐิน

ฮีตเดือนสิบสอง บุญกฐิน

ความหมายของกฐิน

ฝ่ายบริภัณฑ์เพื่อการศึกษา (2526) กล่าวไว้ว่า คำว่า “กฐิน” เป็นคำไทยที่มาจากภาษาบาลี แปลว่า “ไม้สะดึง” หมายถึง กรอบไม้สำหรับใช้ขึงผ้าเพื่อทำให้การปักเย็บสะดวกขึ้น เป็นอุปกรณ์สำคัญในการทำเป็นผ้านุ่งหรือผ้าห่มของพระสงฆ์ ทั้งสบง จีวร และสังฆาฏิ

ความพิเศษของกฐิน

อีสานร้อยแปด (2561) กล่าว่า การถวายกฐินมีความความพิเศษแตกต่างจากทานอย่างอื่น ดังนี้

  • จำกัดประเภททาน คือ ต้องถวายเป็นสังฆทานเท่านั้น จะถวายเฉพาะเจาะจงภิกษุรูปใดรูปหนึ่งเหมือนทานอย่างอื่นไม่ได้
  • จำกัดเวลา คือ กฐินเป็นกาลทานตามพระบรมพุทธานุญาตจากประสงค์ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าโดยตรงไม่มีผู้ทูลขอ ดังนั้น จึงจำกัดเวลาว่าต้องถวายภายในระยะเวลา 1 เดือน นับแต่วันวันแรม 1 ค่ำเดือน 11 ถึงวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 12 เท่านั้น
  • จำกัดงาน คือ ภิกษุสงฆ์ที่กรานกฐินต้องตัด เย็บ ย้อม และครองให้เสร็จภายในวันที่กรานกฐิน
  • จำกัดไทยธรรม คือ ผ้าที่ถวายต้องถูกต้องตามลักษณะที่พระวินัยกำหนดไว้
  • จำกัดผู้รับ คือ ภิกษุสงฆ์ผู้รับกฐิน ต้องเป็นผู้ที่จำพรรษาในวัดนั้นโดยไม่ขาดพรรษา และมีจำนวนไม่น้อยกว่า 5 รูป
  • จำกัดคราว คือ วัด ๆ หนึ่งรับกฐินได้เพียงปีละ 1 ครั้งเท่านั้น

ประเภทของกฐิน

ประเภทของกฐินมี 2 ประเภทใหญ่ ๆ คือ กฐินหลวง ซึ่งเป็นพระราชพิธีที่พระเจ้าแผ่นดินทรงบำเพ็ญพระราชกุศลเกี่ยวกับกฐิน และ กฐินราษฎร์ คือ กฐินที่ประชาชนที่เป็นพุทธศาสนิกชนนำไปทอดถวาย ณ วัดต่าง ๆ

พระครูสิริวุฒิวงศ์ (2550) ได้ให้ข้อมูลว่า ประเภทของกฐินราษฎร์หากแบ่งตามลักษณะของการจัดการสามารถแบ่งได้ 4 ประเภท คือ

  • กฐินทั่วไป หรือ มหากฐิน คือ กฐินทั่วไปที่ผู้มีศรัทธานำไปถวายตามวัดที่ตนศรัทธาและจองไว้โดยทั่วไป

ฮีตเดือนสิบสอง บุญกฐิน

  • จุลกฐิน คือ กฐินที่ทำอย่างเร่งรีบ จะต้องทำผ้ากฐินและถวายภิกษุสงฆ์ให้แล้วเสร็จในวันเดียว บางครั้งจึงเรียกว่า กฐินแล่น (คำว่า แล่น ในภาษาอีสานหมายถึง เร่งรีบจนต้องวิ่ง) เจ้าภาพผู้ที่จะทำจุลกฐินจะต้องเป็นผู้มีบารมี มีพวกพ้องคอยช่วยเหลือ เพราะต้องทำผ้ากฐินตั้งแต่ขั้นตอนการปั่นเส้นด้ายจนทอให้เป็นผืนผ้าให้แล้วและนำมาทอดถวายในวันนั้นให้แล้วเสร็จภายในวันเดียว หรือหากเจ้าภาพไม่มีกำลังมากพอก็อาจจะตัดวิธีการในตอนต้น ๆ ออกเสียก็ได้ โดยเริ่มตั้งแต่การนำเอาผ้าขาวผืนใหญ่มากะประมาณให้พอที่จะตัดเป็นจีวรผืนใดผืนหนึ่งแล้วนำไปทอดถวาย ก็ได้

ฮีตเดือนสิบสอง บุญกฐิน

  • กฐินสามัคคี หรือกฐินพัฒนา คือ กฐินที่เจ้าภาพร่วมกันหลายคน กฐินลักษณะนี้มักจะได้ปัจจัยมาทำนุบำรุงและพัฒนาวัดพัฒนาท้องถิ่นมากกว่าแบบอื่น และเพื่อความโปร่งใสและสะดวกในการดำเนินการมักจะมีการแต่งตั้งคณะทำงานขึ้นมาดำเนินการ กฐินสามัคคีนี้เป็นที่นิยมแพร่หลายมาก ช่วยสร้างความสามัคคีในชุมชนให้มีความรักมั่นกลมเกลียวอีกทางหนึ่งด้วย
  • กฐินตกค้าง หรือกฐินตก หรือ กฐินโจร เพราะผู้มีศรัทธาที่ไปทอดถวายผ้ากฐินมักจะไม่บอกกล่าวให้รู้ล่วงหน้าหรือจองไว้ก่อน มักทำกันในวัดที่ตกค้างไม่มีผู้มีทอดถวายกฐิน โดยผู้มีศรัทธาจะไปสืบเสาะหาวัดที่ตกค้างนี้และทอดถวายกฐินในวันใกล้ ๆ จะสิ้นหน้าทอดกฐินหรือในวันสุดท้ายของกาลกฐิน ผู้มีศรัทธาคนเดียวจะทอดถวายกฐินตกค้างหลายวัดก็ได้ มีความเชื่อว่าการทอดกฐินตกค้างนี้จะได้บุญอานิสงส์แรงกว่าทอดกฐินแบบอื่น บางครั้งหากพบว่าวัดนั้น ๆ มีคุณสมบัติที่ไม่สามารถรับกฐินได้ ผู้ศรัทธาก็อาจจะถวายเครื่องกฐินและบริวาร หรือเครื่องไทยทานให้กับวัดไปเลยก็มี เรียกว่า ผ้าป่าแกมกฐิน

การทอดกฐินนั้นมีเพียงผ้าผืนเดียว ซึ่งอาจตัดเย็บย้อมเป็นผ้านุ่งหรือผ้าห่มซ้อนอย่างใดอย่างหนึ่งก็ได้ หรืออาจถวายผ้าสำเร็จผืนใดผืนหนึ่งก็ได้ หากวัดใดวัดหนึ่งไม่มีใครจองกฐิน ใครก็ได้ที่มีศรัทธาและทุนไม่มากไปซื้อผ้าสำเร็จรูปผืนใดผืนหนึ่งมาถวายก็เรียกว่า ทอดกฐิน แล้ว หรือในกรณีที่บางวัดมีประเพณีให้ตัดเย็บ ย้อมให้เสร็จในวันนั้นก็ซื้อผ้าขาวผืนเดียวมาถวาย ก็จัดเป็นการทอดกฐินที่สมบูรณ์ตามพระวินัยเป็นอันแก้ปัญหาเรื่องกฐินตกค้างอย่างง่าย ๆ

ขั้นตอนการทำบุญกฐิน

1.การจองกฐิน ผู้ที่มีศรัทธาจะถวายกฐินจะต้องทำการจองกฐิน ณ วัดที่มีภิกษุสงฆ์จำพรรษาครบ 3 เดือน และมีจำนวนไม่ต่ำกว่า 5 รูป ถ้าต่ำกว่านั้นใช้ไม่ได้ แม้จะไปนิมนต์มาจากวัดอื่นก็ไม่ได้ โดย ผู้จองกฐินจะต้องเขียนสลากใบจองติดไว้ผนังโบสถ์ บอกชื่อ-สกุล ตำแหน่งและที่อยู่ของตนให้ชัดเจน และระบุด้วยว่าจะเป็นมหากฐิน หรือจุลกฐิน เพื่อมิให้ผู้อื่นไปจองซ้ำซ้อน เพราะในแต่ละปี แต่ละวัดจะรับกฐินได้เพียงกองเดียวเท่านั้น 

ผู้ที่สมควรเป็นผู้ทอดกฐิน คือ ผู้ที่มีศรัทธาจะเป็นภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา หรือเทวดามารพรหมคนใดก็ได้ หากมีเครื่องบริขารตามที่กล่าวมาแล้วก็สามารถถวายให้ภิกษุสงฆ์ให้ได้รับประโยชน์ทางพระวินัยได้

2. การเตรียมองค์กฐินและบริวารกฐิน

องค์กฐิน เป็นคำเรียกองค์ประกอบของใช้ของภิกษุสงฆ์ที่ร่วมถวายกับไตรจีวรแก่พระภิกษุสงฆ์ผู้ครองผ้ากฐินในปีนั้น ๆ ได้แก่ 1.ผ้าไตรจีวร 2.บาตร 3.ตาลปัตร 4.ย่าม 5.รองเท้า

ฮีตเดือนสิบสอง บุญกฐิน

ข้อกำหนดเกี่ยวกับผ้าต่าง ๆ ที่อยู่ในองค์กฐิน

  • จะต้องมีขนาดตามที่กำหนด เช่น ผ้าสบงให้ยาว 6 ศอก กว้าง 2 ศอก ผ้าจีวรและสังฆาฏิ ยาว 6 ศอก กว้าง 4 ศอก แต่ถ้าผู้รับตัวเล็กก็ให้ลดลงตามสัดส่วน
  • ผ้าที่ควรทำเป็นผ้ากฐิน คือ 1) ผ้าใหม่ 2) ผ้ากลางเก่ากลางใหม่ 3) ผ้าเก่า 4) ผ้าบังสุกุล 5) ผ้าตกตามร้านตลาดที่ยืมเขามา
  • ผ้าที่ไม่ควรทำผ้ากฐินคือ 1)ผ้ายืมเขามา 2)ผ้าทำนิมิตรได้มา 3)ผ้าที่พูดเลียบเคียงได้มา 4)ผ้าเป็นนิสสัคคีย์ (นิสสัคคีย์ คือ อาบัติประเภทที่พระสงฆ์ผู้ผิดโดยการรับหรือ ได้ของอย่างหนึ่งมา จะต้องสละของนั้นก่อนจึงจะแสดงอาบัติได้) 5) ผ้าที่ลักขโมยเขามา เป็นต้น

นอกจากองค์กฐินแล้ว เจ้าภาพบางรายอาจศรัทธาถวายของอื่น ๆ ไปพร้อมกับองค์กฐิน เรียกว่า บริวารกฐิน ตามที่นิยมกันประกอบด้วยปัจจัย 4 อาทิ

  1. เครื่องบริขาร 8  หรือนุ่งห่มของพระภิกษุสามเณร ได้แก่ บาตร ผ้าสังฆาฏิ ผ้าจีวร ผ้าสบง มีดโกน เข็ม ผ้าประคตเอว ผ้ากรองน้ำ หรืออื่น ๆ ที่จำเป็น
  2. เครื่องใช้สอยประจำปี ได้แก่ ผ้าห่มหน่ว เสื่อ มุ้ง หมอน กลด เตียง โต๊ะ เก้าอี้ โอ่งน้ำ กระถาง กระทะ กระโถน เตา ภาชนะสำหรับใส่อาหารคาวหวาน
  3. เครื่องมือสำหรับการซ่อมแซมเสนาสนะ มีมีด ขวาน สิ่ว เลื่อย ไม้กวาด จอบ เสียม
  4. เครื่องคิลานเภสัชหรือยารักษาโรค ยาสีฟัน แปรงสีฟัน อุปกรณ์ซักล้าง เป็นต้น
  5. อื่น ๆ ที่เป็นของที่สมควรแก่ภิกษุสงฆ์สามเณรจะใช้อุปโภคบริโภคเท่านั้น หากจะมีของที่ระลึกสำหรับแจกจ่ายแก่คนที่อยู่ในวัดหรือคนที่มาร่วมงานกฐินด้วยก็ได้ สุดแต่กำลังศรัทธาและอัธยาศัยไมตรีของเจ้าภาพ และที่พบเห็นในท้องถิ่นอีสานคือ การนำข้าว ปลา อาหาร เช่น กล้วยเครือ อ้อย มะละกอ มะพร้าว มาสมทบร่วมอีกด้วย

ฮีตเดือนสิบสอง บุญกฐิน

นอกจากนี้ ยังมีธรรมเนียมที่เจ้าภาพผู้ทอดกฐินจะต้องมีผ้าห่มพระประธานอีก 1 ผืน เทียนสำหรับจุดในเวลาที่ภิกษุสงฆ์สวดปาติโมกข์หรือเทียนปาติโมกข์ จำนวน 24 เล่ม และมีธงขาวเขียนรูปจรเข้ หรือสัตว์น้ำอย่างอื่น เช่น ปลา นางเงือก เป็นต้น 

ฮีตเดือนสิบสอง บุญกฐินฮีตเดือนสิบสอง บุญกฐิน

3.การทอดถวายกฐิน

  • ก่อนถึงวันทอดถวายกฐิน

เมื่อเจ้าอาวาสทราบกำหนดวันทอดถวายกฐินแน่นอนแล้ว จะซักซ้อมภิกษุสงฆ์ผู้ที่จะรับกฐิน การอปโลกน์กฐิน การสวดให้ผ้ากฐิน การกรานกฐิน การอนุโมทนากฐิน และจัดการทำความสะอาดบริเวณวัดให้สะอาดเรียบร้อยก่อน

คุณสมบัติของภิกษุสงฆ์ผู้สมควรได้รับผ้ากฐิน พิจารณาจาก 1) เป็นพระเถระผู้ใหญ่ในสงฆ์  2) เป็นผู้มีจีวรเก่ารูปอื่น 3) เป็นผู้ฉลาดสามารถที่จะทำกรานกฐินให้ถูกต้องได้ อย่างใดอย่างหนึ่ง

ในส่วนของเจ้าภาพผู้จองกฐินบางคนจะนิมนต์พระสงฆ์มาเจริญพระพุทธมนต์ และเทศนาธรรมที่บ้านและช่วงเวลากลางคืนก็อาจจะมีมหรสพหรือหมอลำเสพงันตลอดทั้งคืน รุ่งเช้าก็จะถวายบิณฑบาตรแล้วแห่กฐินไปทอดถวายที่วัด ในกรณีที่เป็นกฐินสามัคคีอาจจะมีการสวดมนต์ เทศนาธรรมร่วมกันที่วัด

  • การทอดถวายกฐิน

เมื่อถึงเวลาที่กำหนดผู้มาร่วมการทอดถวายกฐินจะแห่องค์กฐินพร้อมเครื่องบริขารต่าง ๆ รอบศาลาการเปรียญโดยการเวียนขวาจำนวน 3 รอบ โดยหน้าขบวนแห่จะมีกลุ่มคนถือไม้กวาดเพื่อกวาดเส้นทางให้ผู้คนที่มาในขบวนได้เดินกันอย่างสะดวก ปลอดภัยจากหนามและของแหลมคมต่าง ๆ นัยว่าเป็นการร่วมบุญโดยการใช้แรง บางท้องถิ่นจะใช้ไม้กวาดกวาดไปในอากาศ นัยว่าเพื่อกวาดสิ่งอัปมงคลชั่วร้ายให้พ้นไปจากเส้นทางของขบวนกฐินอันเป็นขบวนบุญ

เมื่อแห่ครบ 3 รอบแล้วจะนำองค์กฐินและเครื่องบริขารไปรวมไว้ที่ศาลาการเปรียญ ซึ่งมีภิกษุสงฆ์รอรับองค์กฐินและบริวาร จากนั้นมัคทายกหรือผู้นำจะนำไหว้พระรับศีลและกล่าวคำถวายกฐิน และยกผ้ากฐินไปถวาย พระสงฆ์รับแล้วทำการอปโลกน์ (อปโลกน์ แปลว่า ยกให้ขึ้นเป็น, ยกกันขึ้นเป็น)

ฮีตเดือนสิบสอง บุญกฐินฮีตเดือนสิบสอง บุญกฐิน

  • คำอปโลกน์ 

องค์ที่ 1 ว่า “ผ้ากฐินทานกับทั้งผ้าบริวารนี้ เป็นของปัจจัยทานาธิบดีผู้วิเศษ มีเจตนาน้อมนำมาถวายแด่พระภิกษุผู้จำพรรษาในอาวาสนี้ สิ้นไตรมาสสามเดือนก็แลผ้ากฐินนี้เป็นของบริสุทธ์สะอาด อากาสะโต โอติณณะสะทิสะเมวะ เปรียบประดุจผ้าทิพย์อันเลื่อนลอยตกมาจากอากาศ จะได้จำเพาะเจาะจงแก่พระภิกษุสงฆ์รูปใด ขอจงสมมติให้แก่ภิกษุรูปนั้นเถิด

องค์ที่ 2 ว่า ผ้ากฐินทานกับทั้งผ้าบริวารนี้ ข้าพเจ้าพิจารณาเห็นสมควรแก่ …ซึ่งเป็นพระเถระเป็นประมุขประธานในสงฆ์ ทรงไว้ซึ่งสีลสุตาทิคุณ มีความฉลากรอบรู้ในอันที่จะกระทำกฐินัตถารกิตให้ถูกต้องตามวินัยนิยมบรมพุทธานุญาต ถ้าภิกษุรูปใดไม่เห็นสมควรขอได้ทักท้วงขึ้นในท่ามกลางระหว่างสงฆ์ ถ้าเห็นสมควร ขอจงให้เสียงอนุโมทนาสาธุการขึ้นพร้อม ๆ กัน

เมื่อว่าคำอปโลกน์เสร็จแล้ว จะทำการสวมญัตติต่อภิกษุสงฆ์นั่งให้ได้หัตถบาส (ห่างกันไม่เกิน 1 ศอก) วางผ้ากฐินไว้ตรงหน้า ภิกษุสงฆ์สองรูปสวดญัตติ

เมื่อผ้าพร้อมแล้ว ภิกษุผู้จะรับกฐินกระทำการถอนผ้าเก่าทั้งหมดแล้วพินทุและอธิษฐานผ้าใหม่ทุกตัว จะกรานสบง จีวร หรือสังฆาฏิตัวใดตัวหนึ่งก็ได้ ให้กรานเพียงตัวเดียว ถ้าเป็นผ้าสำเร็จรูปกรานสังฆาฏิก็ได้ ถ้าเป็นผ้าตัดใหม่ ใช้ตัดผ้าสบงเพราะสบงตัด เย็บ ย้อมง่ายกว่า เวลากรานก็เอาผ้าสบงกราน คือ ภิกษุผู้รับกฐินหันหน้ามายังสงฆ์ ว่านโม 3 จบ แล้วกรานสบงว่า อิมินา อันตะระวาสเกนะ กะฐินัง อัตถะรามิ 3 หน เป็นอันเสร็จพิธีกรรม ต่อไปว่าคำอนุโมทนา

ภิกษุสงฆ์ผู้รับกฐินเป็นผู้นำว่า นโม 3 จบ พร้อมกัน เสร็จแล้วผู้รับกฐินหันหน้าลงมายังสงฆ์ กล่าวคำอนุโมทนาว่า อัตถะตัง อาวุโส สังฆัสสะ กฐินัตถาโร อะนุโมทะถะ ว่า 3 จบ แล้วพระสงฆ์ว่าคำอนุโมทนาพร้อมกันว่า อัตถะตัง ภันเต สังฆัสสะ กฐินัง ธัมมิโก, กะฐินัตถาโร อนุโมทนามิ 3 หน เป็นอันเสร็จพิธีเกี่ยวแก่การกรานกฐินเพียงนี้ 

การทอดกฐินหรือการถวายกฐินไม่เหมือนถวายทานอย่างอื่น ผู้ถวายจะพอใจในภิกษุสงฆ์รูปใดจะยกถวายรูปนั้นไม่ได้ ต้องมอบให้เป็นหน้าที่ของภิกษุสงฆ์ท่านจะให้ใครท่านจะอุปโลกน์ให้ ถ้าภิกษุสงฆ์พร้อมกันจึงจะทอดให้ภิกษุองค์นั้นได้

  • การปักธงกฐิน

เมื่อทอดกฐินเสร็จแล้ว จะมีการปักธงขาวเขียนรูปจรเข้ หรือสัตว์น้ำอย่างอื่นเป็นเครื่องหมายให้ทราบว่าวัดนั้น ๆ ได้รับกฐินแล้วและอนุโมทนาร่วมกุศลด้วยได้ ซึ่งธงนี้จะปลดลงในวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 12 ธงกฐินนิยมทำเป็นรูปสี่เหลี่ยมพื้นผ้ายาวประมาณ 2 ศอก กว้าง 1 ศอก ปลายทั้งสองข้างเย็บเป็นซองขวางผืนธง เพื่อสอดไม้สำหรับผูกหรือแขวนตอนบนข้างหนึ่ง และถ่วงชายธงตอนล่างข้างหนึ่ง ในกรณีของธงจรเข้จะเขียนรูปจระเข้คาบดอกบัว 3 ดอก ลำตัววางตามความยาวธง เอาหัวไว้ข้างบน หางเหยียดลงไปทางปลายธง

ฮีตเดือนสิบสอง บุญกฐิน

ธงขาวเขียนรูปสัตว์นี้  บ้างก็ว่าเป็นคติธรรมสอนเรื่อง ความโลภ โกรธ หลง การมีสติรู้จักควบคุมจิตใจ อีสานเกท (2564) ให้ข้อมูลเกี่ยวกับว่า ธงขาวเขียนรูปสัตว์และนางมัจฉา ไว้ ดังนี้

  • ธงจระเข้ เปรียบกับ ความโลภ ด้วยจรเข้นั้นที่มีปากขนาดใหญ่แต่กินไม่เคยอิ่ม
  • ธงตะขาบ เปรียบกับ ความโกรธ เนื่องด้วยพิษของตะขาวนั้นเผ็ดร้อนเหมือนความโกรธที่แผดเผาจิต
  • ธงนางมัจฉา เปรียบกับ ความหลง ด้วยเสน่ห์แห่งความงามที่ชวนหลงใหลของนางมัจฉา อีกนัยหนึ่งคือ นางเงือกมีลักษณะจะเป็นคนก็ไม่ใช่เป็นปลาก็ไม่เชิงเป็นลักษณะของความไม่รู้หรืออวิชชา และมีความเชื่อว่า อานิสงส์จากการถวายผ้าแก่ภิกษุสงฆ์จะทำให้ผู้ถวายมีรูปงาม
  • ธงเต่า หมายถึง สติ การระวังป้องอายตนะทั้ง 6 เหมือนเต่าที่หด หัว ขา หาง ป้องกันอันตราย เพื่อสอนว่า ความโลภ โกรธ หลง ต้องรู้จักควบคุมจิตใจด้วยการมีสติ

สำหรับปักหน้าวัดเมื่อทอดกฐินแล้วเสร็จ การปักธงนี้เป็นเครื่องหมายให้ทราบว่าวัดนั้น ๆ ได้รับกฐินแล้วและอนุโมทนาร่วมกุศลด้วยได้ ธงนี้จะปลดลงในวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 12

ตำนานและความเชื่อเกี่ยวกับธงกฐิน

  • มีอุบาสกคนหนึ่งไปทอดกฐินทางน้ำ ใช้ขบวนเรือแห่กฐิน ครั้งนั้นมีหมู่สัตว์น้ำทั้งหลายตามขบวนกฐินไปด้วย มีมัจฉา ตะขาบ จระเข้ เป็นต้น แต่ไม่สามารถจะตามขบวนกฐินไปถึงในวัดได้ ด้วยความเลื่อมใสในพระศาสนา จึงอ้อนวอนให้อุบาสกนั้น เขียนรูปตนเข้าในบริวารกฐินด้วย อุบาสกเห็นว่าสัตว์ทั้งหลายก็อนุโมทนาบุญของตน จึงเขียนรูปไว้ แล้วเรื่องนี้จึงได้ยึดถือปฏิบัติสืบต่อกันมา
  • ในสมัยโบราณ การเดินทางต้องอาศัยการดูทิศทางจากดวงดาว เช่น ในการเคลื่อนขบวนทัพในตอนจวนสว่าง ต้องอาศัยดาวจระเข้ซึ่งขึ้นในช่วงนั้นพอดี การทอดกฐินในสมัยนั้นบางทีต้องไปทอดกฐิน ณ วัดซึ่งอยู่ห่างไกล จึงต้องอาศัยดูทิศทางจากดาวจระเข้ ซึ่งพอดาวจระเข้ขึ้นก็เริ่มเคลื่อนขบวนกฐิน และเดินทางไปถึงวัดเมื่อสว่างพอดี ต่อมาจึงมีผู้คิดทำธงประดับองค์กฐิน โดยถือว่าดาวจระเข้เป็นดาวบอกเวลาเคลื่อนองค์กฐิน
  • เศรษฐีผู้หนึ่งเป็นคนขี้เหนียว ไม่เคยคิดทำบุญสร้างกุศล นำสมบัติไปฝังไว้ที่ท่าน้ำหน้าบ้าน ครั้นตายลงจึงไปเกิดเป็นจระเข้เฝ้าสมบัติของตน ได้รับความทุกขเวทนามาก จึงไปเข้าฝันภรรยาให้มาขุดสมบัติไปทำบุญกุศล ภรรยาจึงจัดให้มีการทอดกฐิน จระเข้เศรษฐีนั้นก็บังเกิดความยินดี ว่ายน้ำตามขบวนเรือแห่องค์กฐินไป แต่ยังไม่ทันถึงวัดก็หมดแรงไปต่อไม่ไหว จึงบอกภรรยาให้วาดรูปจระเข้ใส่ในธงไปแทน
  • มีอุบาสกคนหนึ่งนำองค์กฐินแห่ไปทางเรือ มีจระเข้ตัวหนึ่งอยากได้บุญในการทอดกฐิน จึงว่ายน้ำตามเรืออุบาสกนั้นไปด้วย ไปได้พักหนึ่งจึงบอกแก่อุบาสกว่า ตนตามไปด้วยไม่ได้แล้ว เพราะเหนื่อยอ่อนเต็มที ขอให้อุบาสกจ้างช่างเขียนภาพของตนที่ธง แล้วยกขึ้นไว้ในวัดที่ไปทอดกฐินด้วย อุบาสกทำตามคำขอของจระเข้ ธงจระเข้จึงปรากฏมานับแต่นั้น
  • เป็นกุศโลบายของคนโบราณ โดยการกฐินแห่ไปในขบวนเรือต้องเดินทางไปตามลำน้ำ ซึ่งมักมีอันตรายจากสัตว์น้ำต่าง ๆ เช่น จระเข้ขึ้นมาหนุนเรือให้ล่มบ้าง ขบกัดผู้คนบ้าง คนสมัยก่อนจึงหวั่นเกรงภัยเช่นนี้ จึงคิดอุบายทำธงจระเข้ปักหน้าเรือไปเป็นทำนองประกาศให้สัตว์ร้ายในน้ำ เช่น จระเข้ ให้รับทราบการบุญการกุศล จะได้พลอยอนุโมทนาและมีจิตใจอ่อนลง ไม่คิดทำอันตรายแก่ผู้คนในขบวนเรือ

นอกจากนี้แล้ว ธงที่เขียนรูปสัตว์และนางมัจฉาแล้ว ยังพบว่ามีธงรูปคลื่นและรูปวังน้ำวน ซึ่ง มติชน จำกัด (2565) ยังให้ข้อมูลว่า มีข้อความในจาตุมสูตรตอนหนึ่ง แสดงภัยที่จะเกิดกับพระไว้ 4 อย่างด้วยกัน ซึ่งเปรียบด้วยภัยที่เกิดแก่บุคคลที่ลงในแม่น้ำหรือทะเล คือ

  1. ภัยเกิดแต่ความอดทนต่อโอวาทคำสอนมิได้ ท่านเปรียบเสมือน “คลื่น” เรียกว่า อุมฺมิภยํ
  2. ภัยเกิดแต่การเห็นแก่ปากแก่ท้อง ทนความอดอยากมิได้ ท่านเปรียบเสมือน “จระเข้” เรียกว่า กุมฺภีลภยํ
  3. ภัยเกิดแต่ความยินดีในกามคุณ 5 ท่านเปรียบเสมือน “วังน้ำวน” เรียกว่า อาวฏฺฏภยํ
  4. ภัยเกิดแต่การรักผู้หญิง ท่านเปรียบเสมือน “ปลาร้าย” เรียกว่า สุสุกาภยํ

อานิสงค์ของการทำบุญกฐิน

ปรีชา พิณทอง (2544) และผู้เขียนอื่น ๆ ล้วนให้ข้อมูลเกี่ยวกับอานิสสงค์ของการทำบุญกฐินไว้ดังนี้

  • สำหรับพระภิกษุ ในพระวินัยบัญญัติได้กล่าวถึงอานิสงส์สำหรับพระภิกษุไว้เป็น 5 ประการด้วยกัน คือ
  1. เข้าไปในหมู่บ้าน หรือไปไหนมาไหนได้ โดยไม่ต้องบอกลาผู้อื่น ตามความในสิกขาบทที่ 6 อเจลกวรรค ปาจิตตีย์ (วินัยพระสงฆ์บัญญัติไว้ว่าเวลาจะเข้าไปบ้าน หรือในหมู่บ้านจะต้องบอกภิกษุด้วยกันก่อน มิฉะนั้นเป็นอาบัติ-มีโทษ)
  2. อยู่ปราศจากไตรจีวรได้ คือ ไปค้างคืนที่อื่นไม่ต้องนำผ้าจีวรไปครอบไตร 3 ผืนก็ได้ ตามความในสิกขาบทที่ 2 จีวรวรรค นิสสัคคียกันท์ (วินัยพระสงฆ์บัญญัติไว้ว่า พระจะต้องมีผ้า 3 ผืน ติดตัวไปตลอด คือ มีสบง จีวร และสังฆาฏิไปตลอด แต่ถ้าได้รับกฐินแล้วไปไหนมาไหนไม่จำเป็นต้องเอาผ้าไปครบ 3 ผืนก็ได้ ไม่เป็นอาบุติ คือไม่เป็นโทษ)
  3. ฉันอาหารปรัมปรคณโภชนะได้ตามปรารถนา ตามความในสิกขาบทที่ 2 โภชนวรรค ปาจิตตีย์ (วินัยพระสงฆ์ให้ฉันอาหารเป็นเอกเทศแต่ถ้ารับกฐินแล้วตั้งวงฉันอาหารกันได้ไม่เป็นอาบัติ คือไม่เป็นโทษ)
  4. เก็บอติเรกจีวรได้ตามปรารถนาไม่ต้องทำวิกัป คือ การทำให้เป็นของสองเจ้าของ ตามความในสิกขาบทที่ 1 แห่งจีวรวรรค นิสสัคคียกัณฑ์ (วินัยพระสงฆ์ให้มีได้เพียงไตรจีวร คือ ผ้า 3 ผืนเท่านั้น แต่ถ้ารับกฐินแล้ว มีมากกว่าไตรจีวร 3 ผืนนั้นได้ ไม่เป็นอาบัติคือไม่เป็นโทษ)
  5. ถ้ามีใครมาถวายผ้าและลาภสักการะในวัดนั้น ๆ ให้มีสิทธิรับได้ (ผู้มีศรัทธาจะนำผ้าป่าและจตุปัจจัยไทยธรรมต่าง ๆ มาถวายหลังจากนั้นไปก็รับได้ไม่อาบัติ คือไม่เป็นโทษ)

อานิสงส์นี้มีระยะเวลาขยายไปถึงกลางเดือน 4 หลังจากนั้นไปพระภิกษุก็ต้องรักษาพระวินัยตามอย่างเคร่งครัดต่อไป

  • อานิสงส์สำหรับคฤหัสถ์ผู้ถวายกฐิน

พระครูสิริวุฒิวงศ์ (2550) ได้กล่าวถึง ปรีชา พิณทอง (2544) ได้ให้ข้อมูลของอานิสงส์ของผู้ถวายกฐินไว้เหมือนกันกับการทำบุญทั่วไปเป็น 5 ประการด้วย คือ 

  1. เป็นที่รักใคร่ของคนทั่วไป
  2. มีเกียรติฟุ้งขจรไปในทุกสารทิศ
  3. เป็นผู้แกล้วกล้าอาจหาญ
  4. เป็นผู้ไม่หลงตาย
  5. เมื่อแตกกายทำลายขันธ์มีสุคติโลกสวรรค์เป็นที่ไป

ส่วนแนวคิดของผู้ช่วยศาสตราจารย์ชอบ ดีสวนโคก แห่งสำนักส่งเสริมศิลปวัฒนธรรมอีสาน มหาวิทยาลัยขอนแก่น ได้ให้ข้อมูลอานิสสงค์ของการทำบุญกฐินไว้เป็น 10 ประการด้วยกัน ดังต่อไปนี้

  1. ได้ชื่อว่าเป็นผู้ให้โอกาสให้พระภิกษุสงฆ์ได้รับอานิสงส์ตามพระวินัย
  2. ได้สร้างที่พึงอันเป็นบุญกุศลให้กับตนเองทั้งในปัจจุบันและอนาคต
  3. ได้ชื่อว่าเป็นผู้ฉลาด มีปัญญา เพราะได้กำจัดความตระหนี่ถี่เหนียว เสียสละทำอามิสทาน คือ การให้ด้วยวัตถุสิ่งของ
  4. ได้บำเพ็ญทานบารมีที่มีประโยชน์มาก เพราะพระุพุทธองค์ได้ทรงอนุญาตให้ทำบุญชนิดนี้ในระยะเวลาที่กำหนดเท่านั้น
  5. ได้ชื่อว่า เป็นผู้มีจิตมุ่งมั่นทำกาลทาน อันมีผลไพศาลต่อส่วนรวมเนื่องจากการถวายกฐินได้ถวายแก่สงฆ์มิได้เจาะจงภิกษุรูปใดรูปหนึ่ง
  6. ได้รับการปลูกฝังและถือว่าส่งเสริมประชาธิปไตย เพราะพิธีกรรมมีการเผดียงสงฆ์ และมีการใช้เสียงเอกฉันท์ในการอุปโลกกฐิน
  7. ได้ทำนุบำรุงศิลปวัฒนธรรมอันดีงาม อันเป็นแบบอย่างที่ดีแก่สังคม
  8. ได้รับความภาคภูมิใจ มีสุขอันเกิดจากการได้เสียสละ สุขใจที่ได้ให้ผู้อื่นได้มีส่วนร่วมบุญทั้งโดยตรงและโดยอ้อม และสร้างสามัคคีธรรมในชุมชน
  9. ได้แสดงออกซึ่งความสมัครสมานสามัคคีของชุมชน หมู่ญาติมิตรและสมาชิกในวงศ์ตระกูลทั่วไป
  10. ได้รับความสุขใจเมื่อได้มีโอกาสทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาอันเป็นศาสนาประจำชาติที่ตัวเองเคารพนับถือมาแต่บรรพบุรุษ

บรรณานุกรม

จ.เปรียญ. (ม.ป.ป.). ประเพณีพิธีมงคลไทยอีสาน. กรุงเทพฯ: อำนวยเวบพริ้นติ้ง.

บำเพ็ญ ณ อุบล. (ม.ป.ป.). บุญฮีตสิบสอง. ม.ป.ท: ม.ป.พ.

ฝ่ายบริภัณฑ์เพื่อการศึกษา. (2526). หนังสืออ่านเสริมความรู้เรื่อง ฮีตสิบสอง คองสิบสี่. อุบลราชธานี : ศูนย์การศึกษานอกโรงเรียนภาคตะวันออกเฉียงเหนือ.

พระครูสิริวุฒิวงศ์. (2550). ความเชื่อและพิธีกรรมเกี่ยวกับการทำบุญทอดกฐินของชาวจังหวัดเลย : กรณีศึกษาอำเภอผาขาว จังหวัดเลย. วิทยานิพนธ์ ศิลปศาสตรมหาบัณฑิต สาขาไทยศึกษาเพื่อการพัฒนา. เลย : มหาวิทยาลัยราชภัฏเลย.

ไพฑูรย์ มีกุศล. (2520). ประเพณีอีสาน ใน ศิลปวัฒนธรรมไทย. งานส่งเสริมศิลปวัฒนธรรมไทยครั้งที่ 1 3-4 ธันวาคม 2520 ณ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ มหาสารคาม. มหาสารคาม : มหาวิทยาลัย.

มติชน. (2565). ทำไม “การทอดกฐิน” ที่วัดถึงมี “ธงจระเข้” ?. https://www.silpa-mag.com/culture/article_71295

ส.ธรรมภักดี. (ม.ป.ป.). ประเพณีอีสาน. ม.ป.ท.: สำนักงาน ส.ธรรมภักดี.

อีสานเกท. (2564). กฐิน บุญประเพณีสืบทอดพระศาสนา. https://www.isangate.com/new/tradition/331-katin-1.html

Tag

การทอผ้าไหม การทำต้นเทียนพรรษา การท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม การปฏิบัติธรรม การแกะสลักเทียนพรรษา ครูภูมิปัญญาไทย บุญมหาชาติ บุญเดือนแปด ชุมชนทำเทียนพรรษา บ้านชีทวน พักผ่อนหย่อนใจ พิพิธภัณฑ์พื้นบ้าน พิพิธภัณฑ์ท้องถิ่น ดนตรีพื้นบ้าน ดนตรีพื้นเมืองอีสาน ต้นเทียนพรรษาประเภทติดพิมพ์ ต้นเทียนพรรษาประเภทแกะสลัก ประวัติศาสตร์ท้องถิ่น ประเพณีท้องถิ่น ประเพณีอีสาน ประเพณีแห่เทียนพรรษา วัดหนองป่าพง วิถีชีวิตคนอีสาน วิปัสสนากรรมฐาน ศิลปกรรมญวน ศิลปกรรมท้องถิ่นอีสาน ศิลปะญวน สถาปัตยกรรมท้องถิ่น สถาปัตยกรรมท้องถิ่นอีสาน สถาปัตยกรรมในพุทธศาสนา สาขาวัดหนองป่าพง สิม หัตถกรรมการทอผ้า อำเภอพิบูลมังสาหาร อำเภอตระการพืชผล อำเภอน้ำยืน อำเภอม่วงสามสิบ อำเภอวารินชำราบ อำเภอเขมราฐ อำเภอเขื่องใน อำเภอเดชอุดม อำเภอเมืองอุบลราชธานี อุบลราชธานี อุโบสถ ฮีตสิบสอง