วัดสุปัฏนารามวรวิหาร อุบลราชธานี พระอารามหลวงชั้นตรี และเป็นวัดแรกของคณะสงฆ์ธรรมยุตินิกายที่ตั้งขึ้นในจังหวัดอุบลราชธานีและภาคอีสาน ตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำมูล ภายในวัดมีอุโบสถที่เป็นงานสถาปัตยกรรมร่วมระหว่างศิลปะไทย ญวน และฝรั่งเศส เป็นที่ประดิษฐานของพระพุทธสัพพัญญูเจ้า พระนาคปรกศิลาทราย พระพุทธสิหิงค์จำลอง และพระแก้วขาวเพชรน้ำค้าง หนึ่งในพระแก้วสำคัญของจังหวัดอุบลราชธานี นอกจากนั้นแล้วภายในวัดยังได้มีการจัดตั้งพิพิธภัณฑ์ของวัดสุปัฏนารามวรวิหารขึ้นเพื่อจัดเก็บและแสดงสิ่งของและโบราณวัตถุต่าง ๆ
ประวัติวัดสุปัฏนารามวรวิหาร อุบลราชธานี
วัดสุปัฏนารามวรวิหาร เป็นพระอารามหลวงชั้นตรีและเป็นวัดแรกของคณะสงฆ์ธรรมยุตินิกายในจังหวัดอุบลราชธานีและภาคอีสาน ตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำมูลทางด้านทิศใต้ของตัวเมืองอุบลราชธานี มีพื้นที่ทั้งหมด 21 ไร่ 3 งาน 10 ตารางวา โดยในราว พ.ศ. 2394 พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้พระพรหมราชวงศ์ (กุทอง สุวรรณกูฏ) เจ้าเมืองอุบลราชธานีในสมัยนั้นให้สร้างวัดถวาย เจ้าเมืองและคณะกรรมการเมืองอุบลราชธานี จึงได้เลือกพื้นที่ท่าน้ำที่มีคุ้งน้ำลึกริมฝั่งแม่น้ำมูลตั้งอยู่ระหว่างตัวเมืองอุบลและบ้านบุ่งกาแซวเป็นสถานที่สร้างวัดถวายพระองค์ เพราะสะดวกในการคมนาคมทั้งทางบกและทางน้ำ ด้วยเป็นเขตน้ำลึกเข้าออกสะดวก โดยมีสมเด็จพระมหาวีรวงศ์ (อ้วน ติสโส) เป็นผู้อำนวยการสร้างวัด ได้มอบหมายให้หลวงสถิตนิมานกาล (ชวน) เป็นผู้ควบคุมการก่อสร้าง และได้อาราธนาท่านพันฺธุโล (ดี) ปุราณสหธรรมิก และท่านเทวธัมฺมี (ม้าว) สิทธิวิทาริก มาครองวัด พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้พระราชทานทรัพย์ 10 ชั่ง (800 บาท) ให้มีผู้ปฏิบัติวัด 60 คน และพระราชทานนิตยภัตต์แก่เจ้าอาวาสเดือนละ 8 บาท วัดถูกสร้างแล้วเสร็จในปี พ.ศ. 2396 ทรงพระราชทานนามว่า วัดสุปัฏนาราม และพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล รัชกาลที่ 8 ได้ทรงยกฐานะขึ้นเป็นพระอารามหลวงชั้นตรีชนิดวรวิหาร เมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ.2479
เจ้าอาวาสที่ครองวัดสืบต่อกันมาเริ่มตั้งแต่ ท่านพันธุโล (ดี) ท่านเทวธัมมี (ม้าว) พระอุบาลีคุณูปมาจารย์ (จันทร์ สิริจันโท) พระพรหมมุนี (อ้วน) และท่านมหาวีระวงศ์ (อ้วน ติสโส)
ความสำคัญของท่าน้ำวัดสุปัฏนารามวรวิหาร
- ชื่อวัดสุปัฏนาราม เกิดจากคำ 3 คำ คือ สุ+ปัฏนะ+อาราม สุ แปลว่า ดี งาม ปัฏนะ แปลว่า ท่าน้ำ ท่าเรือ อาราม แปลว่า วัด สุปัฏนาราม จึงมีคำแปลว่า วัดที่มีท่าน้ำหรือท่าเรือที่ดีสะดวกในการขึ้นลงเรือ
- ท่าน้ำวัดสุปัฏนาราม เมื่อครั้งแรกสร้างวัด เป็นที่ตั้งของอุทกุกเขปสีมา หรือเรียกว่าโบสถ์กลางน้ำ ซึ่งเป็นเขตสามัคคีชั่ววักน้ำสาดแห่งคนมีอายุและกำลังปานกลาง หมายถึง เขตชุมนุมทำสังฆกรรมที่กำหนดลงในแม่น้ำหรือทะเล ชาตสระ (ที่ขังน้ำเกิดเองตามธรรมชาติ เช่น บึง หนอง ทะเลสาบ) โดยพระภิกษุประชุมกันบนเรือหรือบนแพซึ่งผูกติดกับหลักในน้ำ หรือทอดสมออยู่ห่างจากตลิ่งกว่าชั่ววิดน้ำสาด (ห้ามผูกโยงเรือหรือแพนั้น กับหลักหรือต้นไม้ริมตลิ่ง และห้ามทำในเรือ หรือแพที่กำลังลอยหรือเดิน) พระภิกษุวัดสุปัฏนารามในสมัยนั้นทำสังฆกรรม เช่น อุปสมบท เป็นต้น ที่แพท่าน้ำวัดสุปัฏนารามนี้
- ท่าน้ำวัดสุปัฏนาราม เป็นท่าลงเรือเดินทางไปศึกษาเล่าเรียนในกรุงเทพมหานครของปูชนียบุคคลของเมืองอุบลราชธานี เช่น เจ้าคุณอุบาลีคุณูปมาจารย์ (จันทร์ สิริจนโท) สมเด็จพระมหาวีระวงศ์ (อ้วน ติสฺโส) สมเด็จพระมหาวีรวงศ์ (พิมพ์ ธัมมธโร) สมเด็จพระมหามุนีวงศ์ (สนั่น จันทปัชโชโต) สมเด็จพระมหาวีรวงศ์ (มานิต ถาวโร)
- ปัจจุบันท่าน้ำวัดสุปัฏนารามวรวิหาร เป็นเขตอภัยทานของสัตว์น้ำนานาชนิดเป็นแหล่งเพาะพันธุ์ปลาแม่น้ำมูลที่ เรียกว่า “วังมัจฉา” และเป็นสถานที่พักผ่อนหย่อนใจของพุทธศาสนิกชนชาวอุบลราชธานี
พระอุโบสถวัดสุปัฏนารามวรวิหาร
ในสมัยสมเด็จพระมหาวีระวงศ์ (อ้วน ติสโส) เมื่อครั้งเป็นพระพรหมมุนี ได้ทำการรื้ออุโบสถหลังเก่าออก และสร้างอุโบสถหลังใหม่ขึ้น อุโบสถหลังนี้มีผู้เขียนแบบ คือ หลวงสถิตนิมานกาล (ชวน สุปิยพันธ์) ซึ่งเป็นนายช่างทางหลวงแผ่นดิน โดยร่วมกันวางแผนและเตรียมการก่อสร้าง เมื่อ พ.ศ. 2460 ลงมือก่อสร้างในปี พ.ศ. 2463 การก่อสร้างเป็นการก่ออิฐถือปูนโดยมีช่างญวนกับช่างจีนเป็นผู้ดำเนินการสร้าง มีขนาดความยาว 35 เมตร กว้าง 21 เมตร ลักษณะอุโบสถสร้างคล้ายทรงพระราชนิยมในสมัยรัชกาลที่ 3 (อิทธิพลจีน) ตัวอาคารมีชาลาหรือระเบียง เสานางจรัลหรือเสานางเรียงทรงสี่เหลี่ยมล้อมรอบอุโบสถ ระหว่างเสาก่ออิฐเป็นรูปโค้งเรือนแก้วแบบโกธิคของฝรั่งเศส ตัวอาคารไม่มีหน้าต่างแต่ทำเป็นประตูโดยรอบทั้งทางด้านหน้าและด้านข้าง หลังคาทรงจั่ว ชั้นเดียวมีพะไรหรือปีกนก 2 ข้างคลุมชาลา หน้าจั่วเรียบเต็มเสมอเสาด้านหน้าคล้ายโบสถ์อิทธิพลจีนในสมัยรัชกาลที่ 3 ตกแต่งด้วยลวดลายปูนปั้นเป็นลายไทยฝีมือช่างญวน ช่อฟ้ารวยลำยองทำเป็นรูปพญานาคแบบญวน เชิงบันไดทั้ง 4 ด้าน ปั้นเป็นรูปสิงโตหมอบยิ้มแบบญวนอยู่มุมละ 1 ตัว ซึ่งเป็นแบบที่พบตามวัดต่าง ๆ หลายแห่งในจังหวัดอุบลราชธานีที่สร้างโดยช่างชาวญวน
ประติมากรรมสิงโตหมอบที่อยู่เชิงบันไดด้านหน้าพระอุโบสถนั้นเป็นกุศโลบายของสมเด็จพระมหาวีระวงศ์ (อ้วน ติสโส) ซึ่งแสดงให้เห็นว่า แม้แต่สัตว์ป่าดุร้ายเมื่อเข้าถึงพระพุทธศาสนาก็สามารถทำให้เชื่องลงได้
พระอุโบสถของวัดสุปัฏนารามวรวิหารหลังนี้ จึงมีลักษณะผสมผสานกันทางสถาปัตยกรรม 3 ชาติ นั่นคือ หลังคาเป็นสถาปัตยกรรมแบบชาวสยามหรือแบบไทย ตัวอาคารเป็นสถาปัตยกรรมทางยุโรปแบบเยอรมัน ส่วนฐานเป็นสถาปัตยกรรมขอม พระอุโบสถนี้สร้างเสร็จส่วนหยาบในปี พ.ศ. 2473 ติดดวงดาวเพดานในปี พ.ศ. 2478 และจัดงานฉลองผูกพัทธสีมา ในปี พ.ศ. 2479 ใช้งบประมาณก่อสร้างประมาณ 70 ล้านบาท พระประธานในพระอุโบสถ นามว่า “พระพุทธสัพพัญญูเจ้า”
ในปี พ.ศ. 2489 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 และสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ เสด็จพระราชดำเนินทรงเยี่ยมราษฎร ณ จังหวัดอุบลราชธานีเป็นครั้งแรก ได้เสด็จฯ มายังอุโบสถวัดสุปัฏนารามวรวิหาร เมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2489 หลังทรงจุดธูปเทียนบูชาพระพุทธสัพพัญญูเจ้าในพระอุโบสถแล้ว เสด็จออกมาทรงรับการบายศรีสมโภชซึ่งข้าราชการและประชาชนชาวอุบลราชธานีจัดถวายตามประเพณีของชาวอุบลราชธานี โดยประทับนั่งภายใต้พระมหาเศวตฉัตรบนระเบียงหน้าพระอุโบสถ
พิพิธภัณฑ์วัดสุปัฏนารามวรวิหาร
วัดสุปัฏนารมวรวิหารเป็นวัดใหญ่และเก่าแก่ มีพระเถรานุเถระสำคัญเป็นผู้สร้างและครองวัดมายาวนาน จึงมีผู้ถวายสิ่งของอันมีค่าไว้เป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะในช่วงที่สมเด็จพระมหาวีระวงศ์ (อ้วน ติสโส) เป็นเจ้าอาวาส ในปี พ.ศ. 2520 จึงได้มีการสร้างหอพิพิธภัณฑ์ขึ้นหนึ่งหลัง เป็นอาคารสองชั้นด้วยเงินบริจาคจากผู้มีจิตศรัทธา ภายในพิพิธภัณฑ์ได้มีการจัดเก็บโบราณวัตถุและศิลปวัตถุที่ทรงคุณค่าทางศาสนา สังคม ประวัติศาสตร์ ศิลปะ วัฒนธรรม และการศึกษาเป็นจำนวนมาก ซึ่งแบ่งกลุ่มได้แก่ พระบรมสารีริกธาตุ พระพุทธรูป รูปหล่อพระอุบาลีคุณูปมาจารย์และสมเด็จพระมหาวีรวงศ์ ตู้พระไตรปิฎกและตู้ต่าง ๆ ธรรมาสน์ ตาลปัตร ใบเสมา ศิลาจารึก ทับหลัง เทวรูป เครื่องทองเหลือง เครื่องเคลือบดินเผา เครื่องลายคราม เครื่องแก้วเจียรนัย เครื่องประดับสมณศักดิ์ และสิ่งของเครื่องใช้ของสมเด็จพระมหาวีระวงศ์ (อ้วน ติสโส) สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้จัดแสดงและจัดเก็บไว้ที่ต่าง ๆ คือ หอพิพิธภัณฑ์ หอศิลปวัฒนธรรม พระอุโบสถ และกุฏิศรีธัญรัตน์
พระพุทธสัพพัญญูเจ้า พระประธานในอุโบสถวัดสุปัฏนารามวรวิหาร
พระพุทธสัพพัญญูเจ้า เป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัย มีขนาดหน้าตักกว้าง 150 เซนติเมตร สูงราว 250 เซนติเมตร หล่อขัดเงาไม่ปิดทอง โดยถอดแบบมาจากพระพุทธชินราช มีพระอาจารย์สีทา ชัยเสโน เจ้าอาวาสวัดบูรพารามเป็นช่าง ในพระเกศมาลาของพระพุทธสัพพัญญูเจ้าบรรจุพระบรมสารีริกธาตุไว้ เมื่อปี พ.ศ. 2487 โดยสมเด็จพระมหาวีระวงศ์ (อ้วน ติสโส) เป็นผู้มอบพระบรมสารีริกธาตุนี้มา คุณลักษณะพิเศษของพระพุทธสัพพัญญูเจ้า คือ ในเวลาอากาศปกติในฤดูร้อนและฤดูฝนองค์พระจะเป็นสีแดงแบบสีนากหรือสีทองชมพู หากอากาศหนาวเย็นมากโดยเฉพาะในฤดูหนาวสีนากขององค์พระจะเปลี่ยนเป็นสีเหลืองอย่างสีทองคำสุกปลั่งไปทั้งองค์
พระแก้วขาวเพชรน้ำค้าง
พระแก้วขาวเพชรน้ำค้างหรือพระแก้วเพชรน้ำค้าง หรือพระแก้วขาว เป็นพระพุทธรูปแก้วผลึกเนื้อใสไม่มีสี ปางมารวิชัย ทรงเครื่องทำด้วยทองคำ ฐานทำด้วยเงิน มีขนาดหน้าตักกว้าง 7 เซนติเมตร (ไม่รวมเครื่องทรง) องค์พระสูง 9.5 เซนติเมตร ความสูงตั้งแต่ฐานจนถึงพระเมาลี 19.5 เซนติเมตร พุทธศิลป์แบบศิลปะเชียงแสน ว่ากันว่าสมเด็จพระมหาวีระวงศ์ (อ้วน ติสโส) ได้มาจากประเทศลาว ปัจจุบันประดิษฐานอยู่บนบุษบกด้านขวาของบุษบกพระบรมสารีริกธาตุในหอศิลปวัฒนธรรม ในคืนวันที่ 31 ธันวาคม-วันที่ 2 มกราคม ของทุกปี ทางวัดจะอัญเชิญพระแก้วเพชรน้ำค้างลงมาไว้ ณ พระอุโบสถ เพื่อให้พุทธศาสนิกชนได้กราบไหว้ ทั้งนี้เป็นไปตามที่บูรพาจารย์สายธรรมยุติของเมืองอุบลที่ได้กำหนดแนวปฏิบัติไว้จนเป็นประเพณีสืบมา
พระนาคปรกศิลาทราย
พระนาคปรกศิลาทราย เป็นพระพุทธรูปปางสมาธินาคปรกทำด้วยศิลาทรายของโบราณสมัยขอม เดิมมีทั้งหมด 4 องค์ มีมาแต่ครั้งสมเด็จพระมหาวีระวงศ์ (อ้วน ติสโส) เป็นเจ้าอาวาส เล่ากันว่าอัญเชิญมาจากวัดศาลาทอง อ.เมือง จ.นครราชสีมา ซึ่งเป็นวัดตั้งแต่สมัยขอมโบราณ ปัจจุบันยังคงอยู่ 3 องค์ ด้วยองค์หนึ่งนั้นได้ถูกอัญเชิญไปประดิษฐานที่วัดประชาอุทิศ อ.คำเขื่อนแก้ว จ.ยโสธร พระพุทธรูปปางสมาธินาคปรก 3 องค์ของวัดสุปัฏนารามวรวิหาร ประกอบด้วย พระพุทธรูปปางสมาธินาคปรกศิลาทรายครองจีวรห่มเฉียง พระพุทธรูปปางสมาธินาคปรกศิลาทรายครองจีวรห่มคลุม สององค์นี้ประดิษฐานอยู่ด้านหน้าของพระพุทธสัพพัญญูเจ้าในอุโบสถ และพระพุทธรูปปางสมาธินาคปรกศิลาทรายพระหัตถ์ซ้ายทับขวา ประดิษฐานอยู่ในหอศิลปวัฒนธรรม
พระพุทธสิหิงค์จำลอง
พระพุทธสิหิงค์จำลองเป็นพระพุทธรูปแบบศิลปะสุโขทัย-ล้านนา หล่อด้วยโลหะผสม ปัจจุบันทาด้วยสีทอง ปางสมาธิ ขัดสมาธิราบ พระศกขมวดเป็นก้นหอย พระรัศมีเปลวเพลิง พระพักตร์ค่อนข้างกลม พระนาสิกโด่ง พระเนตรเหลือบลงต่ำ ทรงครองจีวรห่มเฉียง มีสังฆาฏิพาดบนพระอังสาซ้ายยาวจรดพระนาภี บั้นพระองค์คอด ฐานทำด้วยปูน ประดิษฐานอยู่ในพระอุโบสถด้านหน้าเบื้องขวาของพระพุทธสัพพัญญูเจ้า
รูปหล่อพระอุบาลีคุณูปมาจารย์และสมเด็จพระมหาวีระวงศ์
พระอุบาลีคุณูปมาจารย์ (จันทร์ สิริจนโท) และสมเด็จพระมหาวีระวงศ์ (อ้วน ติสโส) เป็นอดีตเจ้าอาวาสวัดสุปัฏนารามวรวิหาร ที่เป็นพระเถระผู้ใหญ่ที่สำคัญของประเทศ และเป็นนักปราชญ์สำคัญของเมืองอุบลราชธานีด้วย บรรดาศิษยานุศิษย์ได้ร่วมกันสร้างรูปหล่อของท่านทั้งสองขึ้นเนื่องในวาระอายุครบ 7 รอบของสมเด็จพระมหาวีระวงศ์ (อ้วน ติสโส) ประดิษฐานไว้ในซุ้มภายในพระอุโบสถวัดสุปัฏนารามวรวิหารด้านหน้าของพระพุทธสัพพัญญูเจ้า พระประธาน
โปงไม้ วัดสุปัฏนารามวรวิหาร
โปง คือ ระฆังที่ทำด้วยไม้ ทำให้เกิดเสียงดัง ทำด้วยไม้แคน สร้างโดยพระครูวิโรจน์รัตโนบล (รอด นันตโร) ปัจจุบันตั้งอยู่ชั้นล่างของหอระฆัง ที่ตั้งอยู่ด้านหน้าของหอศิลปวัฒนธรรมของวัดสุปัฏนารามวรวิหาร
ไหว้พระ 9 วัดในจังหวัดอุบลราชธานี : วัดสุปัฏนารามวรวิหาร
ที่ตั้งวัดสุปัฎนารามวรวิหาร
ริมฝั่งแม่น้ำมูล ถนนสุปัฏ ตำบลในเมือง อำเภอเมือง จังหวัดอุบลราชธานี
พิกัดภูมิศาสตร์ วัดสุปัฎนารามวรวิหาร
15.225375, 104.853372
บรรณานุกรม :
ขนิษฐา ทุมมากรณ์. ภาพเก่าเล่าเรื่องเมืองอุบล, วันที่ 22 มกราคม 2558. http://www.esanpedia.oar.ubu.ac.th/picture.
ประวัติศาสตร์และโบราณคดีอุบลราชธานี. (2531). เอกสารการสัมมนาประวัติศาสตร์และโบราณคดีอุบลราชธานี 26-28 กันยายน 2531 ณ หอประชุมอาคารหอสมุด วิทยาลัยครูอุบลราชธานี.อุบลราชธานี: วิทยาลัยครูอุบลราชธานี.
ปิยะฉัตร ปีตะวรรณ และสุภัต รักเปี่ยม. (2541). สถาปัตยกรรมอุบลราชธานี. อุบลราชธานี: ชมรมอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมศิลปกรรมท้องถิ่น จังหวัดอุบลราชธานี สำนักศิลปวัฒนธรรม สถาบันราชภัฏอุบลราชธานี.
วราวุธ ผลาอนันต์ .พิมพ์ครั้งที่ 2. (2557). พิพิธภัณฑ์ล้ำค่าในวัดสุปัฏนารามวรวิหาร. อุบลราชธานี: ชมรมอุบลรักดนตรีไทย จังหวัดอุบลราชธานี.
มะลิวัลย์ สินน้อย, ผู้รวบรวม. ฐานข้อมูลเลื่องลือเล่าขานพระดังเมืองอุบลราชธานี, วันที่ 17 มกราคม 2558. http://www.esanpedia.oar.ubu.ac.th/monkubon.