ศรี ศรี บายศรีสู่ขวัญ

ขวัญ เป็นสิ่งที่ชาวอีสานให้ความสำคัญและเชื่อว่าเป็นมงคลแก่ชีวิต ทำให้ชีวิตและครอบครัวมีความร่มเย็นเป็นสุข และสร้างพลังทางจิตวิญญาณ จึงพบเห็นพิธีบายศรีสู่ขวัญ หรือการสูดขวัญเพื่อเสริมสร้างกำลังใจให้กับผู้รับขวัญอยู่ทุกช่วงของชีวิตของชาวอีสาน เช่น การสู่ขวัญเด็กน้อย สู่ขวัญนาค สู่ขวัญขึ้นบ้านใหม่ สู่ขวัญแต่งงาน สู่ขวัญคนป่วย สู่ขวัญข้าว สู่ขวัญควาย เป็นมรดกทางวัฒนธรรมและภูมิปัญญาท้องถิ่นที่แสดงถึงความรักและความห่วงในที่จะช่วยให้สังคมสงบสุข

ความหมายของคำว่า “ขวัญ”

“ขวัญ” นั้นเชื่อว่าเป็นสิ่งไม่มีตัวตนคล้ายกับจิตหรือวิญญาณแฝง อยู่ในตัวคนและสัตว์ ตั้งแต่เกิดมาทุกคนมีขวัญกันทั้งนั้น รวมทั้ง หมายถึง “กำลังใจ” “เป็นที่รักที่บูชา” หรือ “ขนหรือผมที่ขึ้นเวียนเป็นก้นหอย” ก็ได้

ขวัญ เป็นสิ่งที่ชาวอีสานให้ความสำคัญและเชื่อว่าเป็นมงคลแก่ชีวิต ทำให้ชีวิตและครอบครัวมีความร่มเย็นเป็นสุข และสร้างพลังทางจิตวิญญาณ จึงพบเห็นพิธีบายศรีสู่ขวัญ หรือการสูดขวัญเพื่อเสริมสร้างกำลังใจให้กับผู้รับขวัญอยู่ทุกช่วงของชีวิตของชาวอีสาน เช่น การสู่ขวัญเด็กน้อย สู่ขวัญนาค สู่ขวัญขึ้นบ้านใหม่ สู่ขวัญแต่งงาน สู่ขวัญคนป่วย สู่ขวัญข้าว สู่ขวัญควาย เป็นมรดกทางวัฒนธรรมและภูมิปัญญาท้องถิ่นที่แสดงถึงความรักและความห่วงในที่จะช่วยให้สังคมสงบสุข

ความเชื่อเกี่ยวกับขวัญ

จากการศึกษาของนิตินันท์ พันทวี (2544) พบว่า มีความเชื่อที่เกี่ยวกับขวัญมีอยู่ 2 ประการ คือ 

1) ความเชื่อเกี่ยวกับลักษณะของขวัญ โดยเชื่อว่า ขวัญมีลักษณะที่ใกล้เคียงกับร่างกายมนุษย์ที่ไม่มีตัวตน ทำหน้าที่แทนจิตใจของมนุษย์ กล่าวคือ ขวัญมีอารมณ์ ขวัญกินอาหารได้ ขวัญชอบคำสรรเสริญเยินยอ ขวัญชอบฟังถ่อยคำที่ไพเราะอ่อนหวาน ชอบใช้เสื้อผ้าอาภรณ์ที่สะอาดและสวยงาม ขวัญตกใจง่าย และที่สำคัญ คือ ชอบเที่ยวเพลิดเพลินพลัดหลงอยู่ตามสถานที่ต่าง ๆ ที่ร่างกายของมนุษย์ได้สัมผัสผ่านไปเพื่อทำกิจกรรมต่าง ๆ ในชีวิตประจำวัน เมื่อมนุษย์ตกอยู่ในสภาพขวัญออกจากร่าง เชื่อว่าเป็นภาวะที่อันตรายอย่างยิ่ง จำเป็นต้องมีการทำพิธีเชิญขวัญซึ่งพลัดหลงอยู่ตามสถานที่ต่าง ๆ ให้กลับคืนสู่ร่าง ด้วยบทสู่ขวัญที่มีภาษาที่ไพเราะอ่อนหวาน และมีเนื้อหาที่ใช้เชื้อเชิญให้ขวัญพอใจและสบายใจ เพื่อให้ขวัญกลับเข้าร่างเดิม

2) ความเชื่อเกี่ยวกับจำนวนและที่อยู่ของขวัญ บทสู่ขวัญทุกประเภทที่ใช้ในการประกอบพิธีการ เกิดจากความเชื่อที่ว่าคนหรือสัตว์มีขวัญอยู่จำนวน 32 ขวัญ ประจำอยู่ตามอวัยวะต่าง ๆ ของร่างกายทั้ง 32 แห่ง เช่น ขวัญเท้า ขวัญหู ขวัญตา ขวัญคิ้ว 

พิธีสู่ขวัญ หรือ บายศรีสู่ขวัญ

“พิธีสู่ขวัญ” หรือ “พิธีบายศรี” หรือ “บายศรีสู่ขวัญ” เป็นพิธีกรรมสำคัญที่ชาวอีสานจะทำกันแทบทุกโอกาส ตามความเชื่อที่ว่า ถ้าขวัญออกจากร่างจะทำให้ผู้เป็นเจ้าของขวัญนั้นประสบผลร้ายต่าง ๆ ดังที่สมเด็จเจ้าพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงกล่าวไว้ว่า 

“ประเพณีการสู่ขวัญ เกิดจากความเชื่อที่มีมาแต่ดึกดำบรรพ์ที่ว่าคนเราเกิดมาย่อมมีธรรมชาติอันหนึ่งที่เรียกว่า “ขวัญ” ประจำปกป้องรักษาตัวผู้เป็นเจ้าของขวัญ เพื่อให้มีความสุขไม่เกิดเจ็บป่วย แต่ถ้าขวัญของคนใดคนหนึ่งหายไปจากตัว จะทำให้คนนั้นเกิดความเจ็บป่วย มีความทุกข์และอาจสิ้นชีวิตได้ เพื่อให้ขวัญได้อยู่กับเนื้อกับตัวดังเดิม จึงมี “พิธีสู่ขวัญ” หรือ “พิธีเรียกขวัญ” ขึ้น”

การทำพิธีบายศรีสู่ขวัญอาจจะมีทั้งพิธีทางพุทธศาสนาและพิธีทางศาสนาพราหมณ์ กล่าวคือ มีการนิมนต์พระสงฆ์อย่างน้อย 5 รูป มาฉันภัตตาหารและเจริญพระพุทธมนต์ สวดชัยมงคลคาถา ร่วมกับพิธีการบายศรีสู่ขวัญ ซึ่งเป็นรูปแบบพิธีทางศาสนาพราหมณ์

บายศรีสู่ขวัญ

โอกาสในการจัดพิธีบายศรีสู่ขวัญ

การจัดพิธีบายศรีสู่ขวัญมีมูลเหตุสำคัญ 2 ประการ ดังนี้

  1. เนื่องในโอกาสอันเป็นมงคล เพื่อแสดงความยินดีที่ประสบความสำเร็จหรือได้รับชัยชนะ โดยมีจุดหมายเพื่อเป็นการรับขวัญ บำรุงขวัญและกำลังใจ และถือเป็นการอวยพรให้ประสบความสุขความเจริญยิ่ง ๆ ขึ้นไป เช่น การแต่งงาน การขึ้นบ้านใหม่ การต้อนรับแขกคนสำคัญ การบวชนาค การเกิด
  2. เนื่องในโอกาสที่รอดพ้นจากอันตรายต่าง ๆ เป็นการทำพิธีบายศรีสู่ขวัญเพื่อขับไล่ความอัปมงคลต่าง ๆ ให้ออกไป เมื่อสิ่งที่ไม่ดีทั้งหลายออกไปแล้วก็จะเกิดความเป็นสิริมงคลเข้ามาแทนที่ เช่น ในโอกาสที่หายจากการเจ็บป่วย หรือหลังจากประสบอุบัติเหตุ เป็นต้น

บายศรีสู่ขวัญ

องค์ประกอบของพิธีบายสู่ขวัญ 

1.ผู้ประกอบพิธีกรรม ได้แก่ หมอสู่ขวัญ หมอสูตร หรือ หมอสู่ขวัญ หรือบางครั้งเรียกว่า “พราหมณ์” คำว่า “สูด” ในภาษาอีสานหมายถึง “สวด” หมอสู่ขวัญจึงหมายถึง ผู้ที่มีความรู้ความชำนาญเกี่ยวกับพิธีบายศรีสู่ขวัญและเป็นผู้ประกอบพิธีบายสู่ขวัญ ได้แก่ นำกล่าวคำไหว้พระ คำกล่าวเทวดามาเป็นสักขีพยาน และบทสู่ขวัญ รวมถึงพิธีกรรมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อก่อให้เกิดความเป็นสิริมงคลตามวัตถุประสงค์ ส่วนใหญ่หมอสู่ขวัญจะบุคคลที่ชาวบ้านให้การยอมรับนับถือ

ค่าตอบแทนหมอสู่ขวัญในการทำพิธีบายศรีสู่ขวัญ แบ่งเป็น 2 แบบ ได้แก่

  • ค่าตั้งครู หมายถึง เงินที่ทางฝ่ายเจ้าภาพผู้จัดงานมอบให้หมอสู่ขวัญพร้อมกับขันธ์ 5 เป็นค่าครู เป็นเงิน 1 บาท 50 สตางค์ หรือ 6 สลึง
  • ค่าสมนาคุณ หมายถึง เงินที่ฝ่ายเจ้าภาพผู้จัดงานมอบให้หมอสู่ขวัญเพื่อเป็นค่าตอบแทนหรือสินน้ำใจ ซึ่งหมอสู่ขวัญจะไม่เรียกร้องขึ้นอยู่กับศรัทธาของเจ้าภาพ มีจำนวนตั้งแต่ 50 -2000 บาทขึ้นไป ขึ้นอยู่กับฐานะของเจ้าภาพที่จัดงาน โดยเจ้าภาพจะผูกข้อมือหมอสู่ขวัญก่อนทำพิธี เรียกว่า “ผูกแขนหมอพราหมณ์” ในบางครั้งเจ้าภาพอาจจะมอบเงินนี้ให้หลังเสร็จพิธีแล้วก็ได้

บายศรีสู่ขวัญ

2.ผู้ร่วมพิธีบายศรีสู่ขวัญ ได้แก่ ผู้ถูกเรียกขวัญ พ่อแม่ ญาติพี่น้อง เพื่อนฝูงที่ใกล้ชิดสนิทสนม หรือผู้เข้าร่วมพิธีบายศรีสู่ขวัญ

ผู้ถูกเรียกขวัญ หมายถึง ผู้ที่ประสบกับสภาวะขวัญออกจากร่าง จำเป็นจะต้องทำพิธีบายศรีสู่ขวัญเพื่อเป็นการเรียกขวัญกลับคืนสู่ร่าง และเพื่อความเป็นสิริมงคล ผู้ถูกเรียกขวัญอาจจะเป็นเจ้าภาพในการจัดงานด้วยก็ได้

เจ้าภาพจะมีหน้าที่ในการเตรียมงานและอำนวยการให้พิธีบายศรีสู่ขวัญดำเนินไปอย่างเรียบร้อยและสำเร็จลุล่วง เริ่มตั้งแต่เจ้าภาพการตกลงใจที่จะจัดพิธีการสู่ขวัญขึ้น มีการหารือวางแผนกับหมอสู่ขวัญและญาติมิตรเพื่อจะกำหนดวันเวลาที่เป็นสิริมงคล กำหนดสถานที่จัดงานตลอดจนเตรียมการในขั้นตอนต่าง ๆ 

บายศรีสู่ขวัญ

3. เครื่องสังเวย ได้แก่ อุปกรณ์และสิ่งของต่าง ๆ ที่ใช้ในการประกอบพิธีบายศรีสู่ขวัญ เพื่อใช้เป็นเครื่องเซ่นและบูชาเทวดาและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายที่เชื่อว่ามีอยู่ และเครื่องสังเวยสำหรับขวัญ ประกอบด้วย

3.1 พาขวัญหรือพานบายศรี บายศรี มาจากคำว่า “บาย” ในภาษาเขมรแปลว่า ข้าว และคำว่า ”ศรี” ในภาษาสันสกฤต แปลว่ามิ่งขวัญ สิริมงคล รวมกันหมายความได้ว่า “ข้าวอันเป็นสิริมงคลหรือข้าวขวัญ” ซึ่งข้าวนี้จะเป็นส่วนประกอบของการจัดพานบายศรีหรือพาขวัญที่ขาดไม่ได้ พานบายศรีสู่ขวัญมักจะจัดด้วยพานทองเหลืองหรือสัมฤทธิ์ที่วางซ้อนกันเป็นชั้น ๆ ชั้นที่ 1 ใส่กล้วย ขนม ขนมต้ม หรืออาหารประเภทขนมและผลไม้ ส่วนชั้นอื่น ๆ จะใส่ดอกไม้ ธูป เทียน หมากพลู ยาสูบ โดยกลัดใบตองเป็นกรวยสอดใส่ไว้ให้สวยงาม พร้อมกับด้ายที่จะใช้ผูกข้อมือก็จะนำมาประดับในพานบายศรีสู่ขวัญ บางท้องถิ่นอาจจะมีอีกพานหนึ่งสำหรับใส่ผ้าผืน แพรวา หวี กระจก น้ำอบ เครื่องประดับ เช่น แหวน สร้อย ของผู้ที่เป็นเจ้าของขวัญ

พานบายศรีสู่ขวัญสำหรับบุคคลธรรมดาทั่วไป จะนิยมใช้แบบ 3 และ 5 ชั้น ส่วนแบบ 7 และ 9 ชั้น นิยมจัดในพิธีสำหรับพระมหากษัตริย์และเชื้อพระวงศ์ จำนวนชั้นพานบายศรีจะเป็นเลขคี่ตามความเชื่อเรื่องตัวเลขของชาวอีสานดังคำที่ว่า “คีกอยู่ คู่หนี” (คีก หมายถึง จำนวนคี่) ถ้าต้องการให้ขวัญอยู่กับตัวจะต้องจัดชั้นพานบายศรีเป็นจำนวนคี่ 

เมื่อทำพิธี พานบายศรีสู่ขวัญจะถูกยกไปวางไว้บนผ้าห่มหรือผ้าเช็ดตัวของเจ้าของขวัญ ท่ามกลางผู้เข้าร่วมพิธี ข้าง ๆ พานบายศรีสู่ขวัญ นอกจากจะมีของสังเวยต่าง ๆ แล้ว ยังต้องมีแก้วน้ำเย็น แก้วใส่น้ำส้มป่อย (กระถินป่า) และแก้วเหล้าสำหรับให้หมอสู่ขวัญดื่ม หรือพ่น หรือ “ฮดฟาย” ใส่พานบายศรีสู่ขวัญ บายศรีสู่ขวัญ

3.2 เครื่องคาย (ขันธ์ 5) เป็นเครื่องบูชาหมอสู่ขวัญที่เจ้าภาพต้องเตรียมไว้ ประกอบด้วย ดอกไม้และเทียนอย่างละ 5 คู่ เงินค่ายกครู และเงินสมนาคุณ โดยจะจัดใส่กรวยใบตองสดและวางไว้ในพาน เรียกว่า “พานผูกแขนหมอพราหมณ์” เพื่อมอบและผูกแขนให้กับหมอสู่ขวัญ

3.3 ไข่ต้มสุก เป็นเครื่องสังเวยที่มีความหมายแทนขวัญ เพราะไข่กับขวัญมีลักษณะที่คล้ายคลึงกันคือ ไข่มีเปลือกหุ้มและขวัญที่มีร่างกายหุ้ม ชาวอีสานเชื่อว่าไข่เป็นสัญลักษณ์ของการเกิดและเป็นศูนย์รวมจิตใจของเจ้าของขวัญ เป็นเครื่องหมายของความเป็นสิริมงคล และบางคนยังเชื่อว่าขวัญชอบกินไข่อีกด้วย

3.4 กล้วยสุก นิยมใช้กล้วยน้ำว้า จำนวน 4 ลูก เพื่อเซ่นสังเวยแก่เทวดาและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายที่สิงสถิตอยู่ทั้ง 4 ทิศ ชาวอีสานเชื่อว่ากล้วยเป็นสิ่งที่มีบุญคุณต่อมนุษย์ เพราะมารดาจะใช้กล้วยป้อนเป็นอาหารให้ลูกน้อย

3.5 เทียน เพื่อจุดบูชาพระรัตนตรัย เปรียบเสมือนแสงสว่างของชีวิต เทียนที่ใช้ในพิธีมี 2 ชนิด คือ

  • เทียนธรรมดา จะใส่ในพานบายศรีสู่ขวัญ จำนวน 5 คู่
  • เทียนคิง (คิง แปลว่า ร่างกาย) เป็นตัวแทนของผู้ถูกเรียกขวัญ จะทำด้วยขี้ผึ้งและใช้ด้ายเป็นไส้เทียน มีขนาดความยาวต่างกัน เช่น ถ้าเป็นการบายศรีสู่ขวัญคนป่วยจะวัดขนาดความยาวจากสะดือถึงร่องคอของเจ้าของขวัญ ถ้าเป็นงานมงคลจะวัดรอบศีรษะที่เรียกว่า “เทียนเวียนหัว” เทียนนี้มีความหมายเป็นนัยว่าเจ้าของขวัญนั้นได้มอบกายถวายตัวและใจแก่พระรัตนตรัยแล้ว การจัดพานบายศรีจะปักเทียนไว้บนสุดของยอดพานบายศรีสู่ขวัญ หมอสู่ขวัญจะจุดเทียนนี้บูชาก่อนเริ่มพิธี

3.6 ด้ายสำหรับผูกข้อมือหรือด้ายผูกแขน เป็นหนึ่งสิ่งที่ขาดไม่ได้ มักทำจากด้ายดิบเพราะถือว่าเป็นสิ่งที่มีชีวิต โดยนำด้ายดิบมาจับเป็นวง ยาวพอที่จะพันรอบข้อมือได้ สำหรับคนธรรมดาจะใช้ วงละ 3 เส้น สำหรับผู้มีฐานันดรจะใช้ วงละ 5 เส้น ตามคำกล่าวโบราณที่ว่า “อาชญา 5 ขี้ข้า 3” เมื่อวงได้ครบแล้วจะใช้วิธีการเด็ดหรือดึงให้ขาดเป็นเส้น ๆ ห้ามใช้มีดตัด เพราะตามวิถีปฏิบัติจะใช้มีดตัดได้เฉพาะด้ายที่มัดศพเท่านั้น ก่อนที่จะผูกแขนจะขมวดด้ายให้เป็นปมตรงกลางก่อน โดยมีความเชื่อว่าเป็นการผูกมัดสิ่งดีงามไว้ไม่ให้หนีหายไป และที่ใช้วิธีการผูกที่ข้อมือเพราะผูกง่าย สะดวก และมีความเชื่อว่าเป็นทางเดินของขวัญและมีชีพจรเต้นตุบ ๆ แสดงถึงความมีชีวิต เมื่อผูกไว้แล้วขวัญจะไม่หนีไปจากร่างกายได้ เวลาผูกจะมีการเอาด้ายผูกข้อมือปัดเข้าปัดออก ซึ่งการปัดเข้า หมายถึง การปัดเอาสิ่งที่ดีเป็นสิริมงคลเข้าไปอยู่ในตัว และการปัดออก หมายถึง การปัดเอาสิ่งชั่วร้ายและมลทินที่อยู่ในตัวออกไป 

บายศรีสู่ขวัญ

เวลาและสถานที่ในการทำพิธีบายศรีสู่ขวัญ

พิธีบายศรีสู่ขวัญมักจะกำหนดขึ้นในวันที่มีฤกษ์ยามดี ซึ่งหมอสู่ขวัญจะเป็นผู้กำหนดให้ โดยมีความเชื่อว่า ถ้าจัดพิธีในเวลาฤกษ์งามยามดีจะทำให้มีความร่มเย็นเป็นสุข ส่วนสถานที่ประกอบพิธีนั้นขึ้นอยู่กับความเหมาะสม เช่น บ้าน วัด และสถานที่ราชการ 

การหาฤกษ์งามยามดีเป็นความเชื่อว่าเวลานั้นมีอิทธิพลต่อการอยู่ดีมีสุขของมนุษย์ ทำการสิ่งใดก็จะไม่ติดขัด และมีผลในทางสังคมด้วย คือ หากได้วันเวลาที่เหมาะสม ย่อมสามารถนัดหมายญาติมิตรให้พร้อมเพรียงได้ ทำให้เกิดความร่วมมือ ร่วมแรงร่วมใจให้งานสำเร็จลงได้ด้วยดี 

ขั้นตอนการประกอบพิธีบายศรีสู่ขวัญ

พิธีกรรมบายศรีสู่ขวัญอาจมีรูปแบบและขั้นตอนในการประกอบพิธีแตกต่างกันไปตามประเพณีนิยมของแต่ละท้องที่ แต่โดยภาพรวมแล้วจะมีประกอบด้วยขั้นตอนต่าง ๆ ดังนี้

1. ผู้ถูกเรียกขวัญและเจ้าภาพที่จัดพิธีจะไปติดต่อเพื่อหารือและวางแผนเกี่ยวกับการจัดงานกับหมอสู่ขวัญและญาติมิตรเพื่อหาวันมงคลที่จะจัดพิธี และจัดเตรียมงาน

2. การเตรียมงาน ผู้ถูกเรียกขวัญหรือเจ้าภาพจะมีการเหล่า (บอกบุญ,เชื้อเชิญ) ญาติพี่น้อง เพื่อนบ้าน และบุคคลเคารพนับถือให้มาร่วมงาน โดยก่อนวันจัดพิธี 1 วัน ผู้ที่ได้รับเชิญบางส่วนจะมาช่วยเตรียมงาน เช่น การจัดเตรียมสถานที่ เตรียมพานบายศรีสู่ขวัญ เตรียมอาหาร ถ้ามีพิธีสงฆ์ด้วยก็จะมีการไปนิมนต์พระสงฆ์ไว้

3. การจัดพิธีบายศรีสู่ขวัญ ตามวันเวลาและสถานที่ที่กำหนดไว้ เมื่อทุกฝ่ายพร้อมพิธีจะเริ่มขึ้นโดย หมอสู่ขวัญขวัญจะกำหนดให้ผู้ถูกเรียกขวัญนั่งหันหน้าไปในทิศมงคลและหันหน้าเข้าหาพานบายศรีสู่ขวัญ ทิศที่เป็นมงคลหรือทิศหัวใจเป็นในแต่ละวันจะแตกต่างกัน ดังนี้

  • วันอาทิตย์ (อุ) หัวใจเป็นอยู่ทิศอุดร
  • วันจันทร์ (หอ) หัวใจเป็นอยู่ทิศหรดี
  • วันอังคาร (อี) หัวใจเป็นอยู่ทิศอีสาน
  • วันพุธ (บู) หัวใจเป็นอยู่ทิศบูรพา
  • วันพฤหัสบดี (อา) หัวใจเป็นอยู่ทิศอาคเนย์
  • วันศุกร์ (พา) หัวใจเป็นอยู่ทิศพายัพ
  • วันเสาร์ (ทัก) หัวใจเป็นอยู่ทัศทักษิณ

4. การสู่ขวัญ การสวดขวัญ หรือการสูดขวัญ

4.1 เจ้าภาพนำข้าวต้มมัดและไข่ต้มไปวางบนมือหมอสู่ขวัญขวัญก่อนแล้วจึงนำด้ายผูกข้อมือที่มัดเงินค่ายกครูและค่าสมนาคุณจำนวนตามสมควรไปผูกที่ข้อมือหมอสู่ขวัญ 

บายศรีสู่ขวัญ

4.2 การไหว้พระและการป่าวเทวดา ผู้ถูกเรียกขวัญยกมือไหว้หมอสู่ขวัญและจุดเทียนคาคีงหรือเทียนเวียนหัว ส่วนหมอสู่ขวัญจะจุดเทียน 1 คู่ ปักไว้บนขันธ์ 5 ยกขึ้นสาธุเหนือศีรษะ แล้วกล่าวคำบูชาพระรัตนตรัยว่า “อิมินา สักกาเรนะ ตัง พุทธัง อภิปูชะยามะ อิมินา สักกาเรนะ ตัง ธัมมัง อภิปูชะยามะ อิมินา สักกาเรนะ ตัง สังฆัง อภิปูชะยามะ”

บายศรีสู่ขวัญ

จากนั้นหมอสู่ขวัญวางขันธ์ 5 ลงบนพื้นด้านหน้าตัวเอง และให้ผู้ถูกเรียญขวัญและผู้ร่วมพิธีจะใช้มือขวาจับพานบายศรีสู่ขวัญ ตั้งจิตอธิษฐานขอให้เทวดาบันดาลให้เป็นไปดังที่ตั้งใจ ให้มาเป็นเกียรติและสักขีพยานในการทำพิธีการ ญาติพี่น้องที่นั่งล้อมเป็นวงด้านหลังก็จะร่วมกันตั้งจิตอธิษฐานให้เจ้าของขวัญมีความสุขความเจริญเช่นกัน หมอสู่ขวัญขวัญจะสวดอ้อนวอนเทวดาให้มาชุมนุมหรือที่เรียกว่า การป่าวเทวดา 

4.3 การทำน้ำมนต์ หมอสู่ขวัญขวัญจะยกขันน้ำมนต์มาตั้งและปักเทียนที่จุดแล้วไว้บนขันน้ำมนต์ ให้น้ำตาเทียนหยดลงน้ำมนต์ และสวดคาถาจนจบ หมอสู่ขวัญขวัญจะดับเทียนโดยการจุ่มเทียนลงในขันน้ำมนต์

4.4 การสู่ขวัญหรือการสวดบทสู่ขวัญ โดย หมอสู่ขวัญจะเลือกบทสู่ขวัญที่เหมาะสมกับการสู่ขวัญแต่ละประเภท แล้วสวดด้วยเสียงที่ชัดเจน สละสลวย ไพเราะ เพื่อให้ผู้ที่รับฟังเกิดความปิติดีใจ เกิดความศรัทธาอุตสาหะในการทำความดี และเกิดความเป็นสิริมงคล 

บทสู่ขวัญหรือคำสวดสู่ขวัญ ก่อนนี้จะใช้ถ้อยคำธรรมดาที่ใช้ในชีวิตประจำวัน แต่ในเวลาต่อมาเพื่อให้เกิดความไพเราะ น่าฟัง และทำให้ผู้ร่วมพิธีไม่เกิดความเบื่อหน่ายจึงมีการประพันธ์และเรียบเรียงถ้อยคำให้มีความไพเราะคล้องจองกันมาสวดและได้รับความนิยมจนปัจจุบัน

ระหว่างที่สวดบทสู่ขวัญนั้น ผู้ร่วมในพิธีจะคอยส่งเสียงสนับสนุนหมอสู่ขวัญเป็นระยะ โดยการกล่าวคำว่า “มาเยอขวัญเอย” ตามหมอสู่ขวัญขวัญ จนกว่าหมอสู่ขวัญสวดเสร็จสิ้น 

สายหยุด บัวทุมและคณะ (2560) กล่าวว่า โครงสร้างเนื้อหาของบทสู่ขวัญ จะประกอบด้วย 1)บทชุมนุมเทวดา 2)บทประณามหรือบทไหว้ 3)บทเกริ่นหรืออารัมภบท 4)บทเชิญขวัญหรือเรียกขวัญ 5)บทปลอบขวัญ 6)บทปัดเคราะห์ 7)บทให้พร

สริยกานต์ ยี่เก็งเอี่ยม. (2565) กล่าวว่า ศิลปะการประพันธ์บทสู่ขวัญนั้น รูปแบบการใช้ภาษา มีการใช้ภาษาบาลีสลับกับภาษาไทยท้องถิ่นอีสาน โดยยกข้อความบาลีขึ้นต้นเรื่องสั้น ๆ แล้วกล่าวเนื้อหาแต่ละตอนความด้วยภาษาไทยท้องถิ่นอีสานซึ่งมีการแทรกบาลีบ้างบางคำ ส่วนจบเรื่องจบด้วยบาลี ด้านการเลือกใช้ถ้อยคำ ผู้ประพันธ์เลือกใช้ถ้อยคำนุ่มนวล อ่อนโยน, ถ้อยคำจริงจัง เคร่งขรึม, คำเลียนเสียง, การใช้คำแสดงอาการ,การใช้คำซ้ำ และการเล่นคำเป็นชุด ด้านการใช้โวหารการเขียน มีการใช้โวหาร 4 แบบ คือบรรยายโวหาร เทศนาโวหาร สาธกโวหาร และอุปมาโวหาร ด้านการใช้สัญลักษณ์ (Symbol) ผู้แต่งใช้สัญลักษณ์อยู่ 4 กลุ่ม คือ สัญลักษณ์แทนความอุดมสมบูรณ์ สัญลักษณ์แทนความวิปริตผิดแปลก สัญลักษณ์แทนความดีงาม และสัญลักษณ์แทนความชั่วร้าย

4.5 การวิดฟาย ขั้นตอนนี้จะทำระหว่างการสูดขวัญ โดย หมอสู่ขวัญจะเป็นการประพรมน้ำมนต์ไปที่พานบายศรีสู่ขวัญและผู้รับการสู่ขวัญ โดยการใช้ดอกไม้จุ่มลงในน้ำมนต์ในลักษณะมือคว่ำ แล้วยกขึ้นให้พ้นจากขอบภาชนะ แล้วตวัดน้ำให้กระเด็นออกจากตัวหมอสู่ขวัญไปสู่ผู้รับการสู่ขวัญ  

4.6 การผูกแขนหรือผูกข้อมือ เมื่อสวดบทสู่ขวัญจบแล้วญาติพี่น้องจะเอาข้าว ไข่ กล้วย ไปวางบนมือของเจ้าของขวัญ จากนั้นหมอสู่ขวัญจะเริ่มอวยพรพร้อมกับผูกด้ายที่ข้อมือให้ก่อนคนอื่น โดยจะผูกข้อมือซ้ายเพราะเชื่อว่าแขนซ้ายเป็นแขนขวัญ เป็นแขนที่ไม่ค่อยถูกใช้งานหนัก เป็นแขนที่น่ารักทะนุถนอม ขณะที่ผูกข้อมือนั้นผู้ที่อยู่ใกล้ ๆ เจ้าของขวัญจะยื่นมือขวาออกไปพยุงหรือโจมแขนของเจ้าของขวัญไว้ และคนอื่น ๆ ก็จับแขนหรือแตะตัวกันต่อ ๆ เป็นเส้นสายเหมือนเชือก ซึ่งแสดงถึงความสัมพันธ์ทางกายและใจให้กันและกัน แล้วตั้งจิตอธิษฐานขอให้เจ้าของขวัญมีความสุขความเจริญ จากนั้นญาติพี่น้องอื่น ๆ ก็จะทยอยเข้ามาอวยพรและผูกข้อมือให้กับเจ้าของขวัญ

บายศรีสู่ขวัญ

ด้ายผูกแขนหรือข้อมือ ถือเป็นของดีหรือของศักดิ์สิทธิ์ที่ควรรักษาไว้ โดยให้ผูกไว้อย่างน้อย 3 วันจึงดึงออก เมื่อก่อนจะมีการเก็บรักษาไว้ด้ายผูกแขนไว้บูชาเป็นของศักดิ์สิทธิ์ ป้องกันอันตรายได้ เป็นด้ายเสน่ห์ที่ช่วยดึงดูดจิตใจให้คนรักใคร่ชอบพอ

การผูกด้ายที่ข้อมือเพื่ออำนวยประโยชน์สุขให้แก่เจ้าของขวัญนั้น จะต้องประกอบด้วย ผู้ผูก ผู้รับผูกหรือเจ้าของขวัญ ผู้เกี่ยวข้องคือญาติมิตร และคำกล่าวขณะที่ผูกหรือคำผูกแขนซึ่งจะเป็นคำเรียกร้องเชิญขวัญ เป็นคำที่ไพเราะ อ่อนหวาน และมีความหมายไปในทางที่ดีงาม

พงศ์ธวัช จรูญฐิติวัฒน์ และคณะ (2560) กล่าวว่า คำผูกแขนของอีสานนั้นเป็นวาทกรรมคำอวยพรที่เปี่ยมไปด้วยพลังและความเข้มขลังเพราะผู้มีอำนาจในสังคม เช่น พระสงฆ์ หมอสู่ขวัญขวัญ ผู้สูงอายุ ได้นำเอาอำนาจและอุดมการณ์ทั้งจากศาสนา จากสิ่งศักดิ์สิทธิ์เหนือธรรมชาติ จากฮีตคอง ฯลฯ มาประกอบสร้างผ่านกระบวนการเลือกสรรคำ เน้นคำและสานต่อความหมายถ่ายทอดออกมาในรูปของคำอวยพร การอ้างเอาอำนาจและอุดมการณ์ต่าง ๆ มาประกอบสร้างเป็นคำอวยพรก็เพื่อสร้างความศักดิ์สิทธิ์ให้กับพิธีกรรม ทั้งนี้เพราะกระบวนการทางสังคมหล่อหลอมและขัดเกลาให้คนอีสานยอมรับ เชื่อถือศรัทธาผู้ที่มีอำนาจเหนือกว่าเสมอ

4.6 การสังสรรค์ เป็นขั้นตอนสุดท้ายของพิธีบายศรีสู่ขวัญ โดยเจ้าภาพจะเป็นผู้เชิญแขกผู้มาร่วมงานรับประทานอาหารร่วมกัน เพื่อขอบคุณที่มาร่วมงาน สมัยก่อนอาจมีการมอบเส้นไหมเป็นไจ ๆ เป็นของที่ระลึกร่วมด้วย 

บรรณานุกรม

กิติราช พงษ์เฉียว. (2556). บทสู่ขวัญ: กรณีศึกษาหนังสือก้อมสำนวน วัดศรีสุริยาป่ายางจังหวัดร้อยเอ็ด. สถาบันวิจัยและพัฒนา มหาวิทยาลัยราชภัฏบลราชธานี.

จักรกฤษณ์ อู่ตุ้ม, บุญเหลือ ใจมโน และสนม ครุฑเมือง. (2565). การวิเคราะห์ภาพสะท้อนทางสังคมที่ปรากฏในบทสู่ขวัญตามวัฒนธรรมไทยกับลาว ใน วารสารมหาวิทยาลัยราชภัฏร้อยเอ็ด. ปีที่ 16 ฉบับที่ 1 (มกราคม-เมษายน) หน้า 70-82.

นิตินันท์ พันทวี. (2544). การศึกษาพิธีกรรมท้องถิ่นในฐานะทุนวัฒนธรรมเพื่อการพัฒนาชุมชน : กรณีศึกษาพิธีกรรมบายศรีสู่ขวัญอีสาน. วิทยานิพนธ์ครุศาสตรดุษฎีบัณฑิต สาขาวิชาพัฒนศึกษา. กรุงเทพฯ : จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. 

ประทับใจ สิกขาและคณะ. (2545). โครงการรวบรวมข้อมูลพิธีกรรมชนแดนโขงด้วยภาพถ่ายและวิดีทัศน์. อุบลราชธานี: ฝ่ายเทคโนโลยีทางการศึกษา สำนักวิทยบริการ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี.

พงศ์ธวัช จรูญฐิติวัฒน์, ปฐม หงษ์สุวรรณ และวิชยา โยชิดะ. (2560). วาทกรรมคำอวยพรในวรรณกรรมคำผูกแขนอีสาน. รมยสาร. ปีที่ 15 ฉบับที่ 1 (มกราคม – เมษายน). หน้า 253-261.

พระสมชาย สํวโร(สุขวินัย), พระณัฐวีร์ ฐานวโร(สัตยบุตร) และธนรัฐ สะอาดเอี่ยม. (2564). พิธีฮาวปลึง: คุณค่าและความสำคัญในวิถีชีวิตของชาวพุทธเขมรถิ่นสุรินทร์ ในวารสารวิชาการสถาบันพัฒนาพระวิทยากร ปีที่ 4 ฉบับที่ 2 (กรกฎาคม-ธันวาคม). หน้า 74-86.

สริยกานต์ ยี่เก็งเอี่ยม. (2565). การศึกษาปริวรรตบทสู่ขวัญ สำนวนที่ถูกบันทึกไว้ที่สาขาวิชาภาษาไทย มหาวิทยาลัยราชภัฏอุบลราชธานี ใน วารสารการบริการนิติบุคคลและนวัตกรรมท้องถิ่น. ปีที่ 8 ฉบับที่ 2 (กุมภาพันธ์). หน้า 133-148.

สายหยุด บัวทุม, กาญจนา วิชญาปกรณ์ และประจักษ์ สายแสง. (2560). บทสู่ขวัญหลวงของลาวกับอีสาน : โครงสร้างทางวรรณกรรมและบทบาทหน้าที่ ใน วารสารมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร. ปีที่ 14 ฉบับที่ 1 (มกราคม-เมษายน). หน้า 29-45.

สุวรรณี สุขเกษม. (2539). การศึกษาบายศรีท้องถิ่น กรณีศึกษา : บายศรีของกลุ่มชาวไทย-เขมรจังหวัดสุรินทร์. สุรินทร์ : มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์.

Tag

การทอผ้าไหม การทำต้นเทียนพรรษา การท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม การปฏิบัติธรรม การแกะสลักเทียนพรรษา ครูภูมิปัญญาไทย บุญมหาชาติ บุญเดือนแปด ชุมชนทำเทียนพรรษา บ้านชีทวน พักผ่อนหย่อนใจ พิพิธภัณฑ์พื้นบ้าน พิพิธภัณฑ์ท้องถิ่น ดนตรีพื้นบ้าน ดนตรีพื้นเมืองอีสาน ต้นเทียนพรรษาประเภทติดพิมพ์ ต้นเทียนพรรษาประเภทแกะสลัก ประวัติศาสตร์ท้องถิ่น ประเพณีท้องถิ่น ประเพณีอีสาน ประเพณีแห่เทียนพรรษา วัดหนองป่าพง วิถีชีวิตคนอีสาน วิปัสสนากรรมฐาน ศิลปกรรมญวน ศิลปกรรมท้องถิ่นอีสาน ศิลปะญวน สถาปัตยกรรมท้องถิ่น สถาปัตยกรรมท้องถิ่นอีสาน สถาปัตยกรรมในพุทธศาสนา สาขาวัดหนองป่าพง สิม หัตถกรรมการทอผ้า อำเภอพิบูลมังสาหาร อำเภอตระการพืชผล อำเภอน้ำยืน อำเภอม่วงสามสิบ อำเภอวารินชำราบ อำเภอเขมราฐ อำเภอเขื่องใน อำเภอเดชอุดม อำเภอเมืองอุบลราชธานี อุบลราชธานี อุโบสถ ฮีตสิบสอง