ไข่ผำ สุดยอดอาหารของโลก

ไข่ผำ (Wolffia) หรือที่เรียกว่าไข่น้ำ ไข่แหน เป็นพืชน้ำดอกขนาดเล็กที่สุดในโลก พบมากในภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคเหนือของไทย โดยไข่ผำมีสองสายพันธุ์หลักคือ Wolffia arrhiza และ Wolffia globosa ซึ่งมีลักษณะแตกต่างกันเล็กน้อย ไข่ผำได้รับความนิยมในการนำมาปรุงอาหารเนื่องจากมีคุณค่าทางโภชนาการสูง เช่น โปรตีน วิตามิน และแร่ธาตุ ชาวอีสานรู้จักและใช้ประโยชน์จากไข่ผำมาเป็นเวลานาน โดยนำมาปรุงเป็นอาหารพื้นบ้านก่อนที่จะมีการศึกษาถึงคุณค่าทางโภชนาการอันหลากหลาย ปัจจุบันไข่ผำได้รับความสนใจมากขึ้นและเป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลาย ด้วยความแปลกใหม่สำหรับคนต่างถิ่น จนคาดการณ์ว่าจะกลายเป็นหนึ่งในสุดยอดอาหารของโลก ซึ่งกำลังอยู่ในระหว่างการพัฒนาในรูปแบบต่าง ๆ เพื่อเป็นแหล่งอาหารสำคัญในอนาคต

ไข่ผำ ไข่น้ำ

ไข่ผำ คืออะไร

ชื่อไทย : ไข่ผำ ไข่น้ำ ไข่แหน ชื่อสามัญ : Wolffia ,Water meal ชื่อวิทยาศาสตร์: Wolffia arrhiza (L.) Wimm ในประเทศไทยพบไข่ผำอยู่ 2 ชนิด ได้แก่ Wolffia arrhiza (L.) wimm และ Wolffia globosa (L.) wimm เป็นพืชดอกที่มีขนาดเล็กที่สุดในโลก มีรูปร่างกลมพองสีเขียว ลอยอยู่บนผิวน้ำ จัดเป็นพืชล้มลุกใบเลี้ยงเดี่ยว ไข่ผำ สายพันธุ์ W.arrhiza จะมีขนาดใหญ่กว่า ผิวด้านบนนั้นค่อนข้างจะมีสีเขียวเข้ม ลำต้นมีลักษณะทึบแสง ส่วน W.globosa มีขนาดเล็กลำต้นโปร่งแสง และมีรูปทรงกระบอกมากกว่า W.arrhiza พบในบริเวณแหล่งน้ำนิ่งธรรมชาติโดยเฉพาะทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคเหนือของประเทศไทย พบมากในช่วงฤดูหนาวต่อเนื่องกับช่วงเข้าสู่ฤดูร้อน ชาวอีสานนิยมนำมาปรุงเป็นอาหาร เช่น อ่อม โดยมีการซื้อขายตามท้องตลาดอยู่ที่กิโลกรัมละ 20-30 บาท 

ไข่ผำ ไข่น้ำ

ลักษณะทางชีววิทยาและนิเวศวิทยาของไข่ผำ

ภาชณุมาศ ทองคำ (2562) ได้รวบรวมข้อมูลลักษณะทางชีววิทยาและนิเวศวิทยาของไข่ผำไว้ในวิทยานิพนธ์เรื่อง “ผลของอุณหภูมิต่อฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระในไข่ผำแห้งและการประยุกต์ใช้ในผลิตภัณฑ์อาหาร” ไว้ว่า

  1. ทัลลัส (Thallus) หรือฟรอนด์ (Frond) มีลักษณะเป็นเม็ดเล็ก รูปร่างทรงกลมพอง เป็นรูปไข่พองทั้งด้านบน และด้านล่าง หรือลักษณะด้านบนอาจแบนราบ เส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 0.5-1.5 มิลลิเมตร สีเขียวสม่ำเสมอตลอดทั้งทัลลัส ทัลลัสนั้นทำหน้าที่เป็นทั้งต้นและใบ จะไม่มีรากและไม่มีใบที่แท้จริง มักอยู่เดี่ยวหรืออาจจะติดกันเป็นคู่แล้วแต่ความอุดมสมบูรณ์
  2. ไข่ผำเป็นพืชไม่มีเนื้อเยื่อท่อลำเลียง ส่วนใหญ่เป็นเนื้อเยื่อพาเรนไคมา(Parenchyme) ที่ประกอบด้วยเซลล์ที่มีชีวิต ในลำต้นที่มีสีเขียวจะมีคลอโรพลาสต์ทำหน้าที่สังเคราะห์แสง มีช่องอากาศแทรกอยู่ระหว่างเซลล์ด้วย จึงทำให้เห็นคล้ายกับลักษณะฟองน้ำ
  3. ดอก (Flower) มีขนาดเล็กที่สุดในพืชดอก ลักษณะออกเป็นช่ออยู่ภายในถุงตรงขอบของทัลลัสเป็นดอกเดี่ยว แยกเพศ ประกอบด้วยดอกเพศผู้ 1 ดอกแยกจากเพศเมีย ไม่มีกลีบเลี้ยงหรือกลีบดอก มีเพียงอับเกสร 2 ช่อง และดอกเพศเมีย 1 ดอก ไม่มีกลีบเลี้ยงหรือกลีบดอกไม่สามารถมองด้วยตาเปล่าได้ จำเป็นต้องใช้กล้องหรือแว่นขยายถึงจึงจะสามารถทำให้มองเห็น
  4. การสืบพันธุ์ (Reproduction) ไข่ผำสามารถสืบพันธุ์ได้ 2 แบบ คือ การสืบพันธุ์แบบอาศัยเพศ โดยการผสมเกสรตัวผู้กับเกสรตัวเมียภายในดอก การกระจายละอองเกสรในระหว่างการสืบขยายพันธุ์จะอาศัยแมลงหรือน้ำ สายพันธุ์ไข่ผำที่พบในประเทศไทยจะมีดอกและเมล็ดในช่วงเดือนตุลาคมถึงเดือนมกราคม ส่วนการสืบพันธุ์แบบไม่อาศัยเพศจะอาศัยการแตกหน่อ (Budding) โดยการแบ่งทัลลัสใหม่ออกทางด้านข้าง ทัลลัสใหม่ (Daughter Frond) ที่เกิดขึ้นจะมีขนาดเล็กกว่าทัลลัสเดิม (Mother Frond) โดยจะมีระยะเวลาในการเจริญเติบโตจนทำให้มีขนาดเท่ากับทัลลัสเดิมก่อนทัลลัสใหม่จึงจะสามารถหลุดออกเป็นทัลลัสเดี่ยว ซึ่งอาจจะใช้เวลาประมาณ 5-6 วัน
  5. สภาพแวดล้อมในการเจริญเติบโต ไข่ผำมักจะชอบขึ้นและเจริญเติบโตได้ดีในที่อากาศร้อนและมีแสงแดดช่วยในการสังเคราะห์แสง โดยทั่วไปมักจะพบในแหล่งน้ำนิ่งที่ลึกตั้งแต่ 20 เซนติเมตรขึ้นไป เช่น บึง หนองน้ำ บ่อ หรือบริเวณที่มีน้ำขัง มีใบไม้และมูลสัตว์สะสมเป็นแหล่งอาหาร
  6. การเจริญเติบโตของไข่ผำขึ้นอยู่กับธาตุอาหารและปุ๋ยในน้ำที่อาศัย สารอาหารที่ไข่ผำต้องการนั้นก็จะเหมือนกับพืชทั่วไป ได้แก่ ไนโตรเจน ฟอสฟอรัส โปแตสเซียม รวมทั้งแสงอาทิตย์เพื่อใช้ในกระบวนการสังเคราะห์แสง ไข่ผำจะเจริญเติบโตอย่างรวดเร็วในช่วงฤดูหนาวต่อกับช่วงฤดูร้อน และจะลดการเจริญเติบโตลงในฤดูฝน เนื่องจากธาตุอาหารถูกน้ำฝนเจือจางลงและความเข้มของแสงอาทิตย์ที่น้อยกว่าฤดูอื่น
  7. ไข่ผำจะมีการเปลี่ยนรูปร่างให้อยู่ในระยะฟัก เรียกว่า ทูลรีน (Turion) เมื่อสภาพแวดล้อมไม่เหมาะสมต่อการเจริญเติบโต สังเกตได้จากสีของไข่ผำนั้นจะเข้มขึ้น มีการลดทั้งขนาดและโครงสร้างลง ทัลลัสและร่างกายมีส่วนประกอบของแป้งจำนวนมากขึ้นเพื่อให้จมลงสู่ก้นบ่อหรือแหล่งน้ำ และให้สามารถมีชีวิตรอดอยู่ในช่วงฤดูหนาวที่มีอุณหภูมิต่ำกว่า 14 องศาเซลเซียส ทั้งนี้ ทูลรีนสามารถมีชีวิตรอดอยู่ในอุณหภูมิ 5 องศาเซลเซียส เป็นระยะเวลาหลายสัปดาห์แม้ไม่มีการเจริญเติบโตเพื่อฟักตัว
  8. การขยายพันธุ์ วิธีที่ง่ายที่สุด คือ การปล่อยให้ขยายพันธุ์เองตามธรรมชาติ ซึ่งไข่ผำสามารถแตกหน่อได้รวดเร็วจนเต็มผิวน้ำดูคล้ายพรมสีเขียว หากเลี้ยงไข่ผำในอ่างบัว ควรมีการเติมธาตุอาหารที่จำเป็น รักษาความสะอาดของน้ำ และนำวางในที่แสงแดดส่องตลอดวันหรืออย่างน้อยถึงช่วงบ่าย ภายในเวลาประมาณ 1 เดือน ไข่ผำก็จะขยายพันธุ์จนเต็มพื้นผิวน้ำได้ แต่ถ้าน้ำเริ่มเน่าเสียไข่ผำก็จะตายหมด

ไข่ผำ ไข่น้ำ

องค์ประกอบทางเคมีและโภชนาการของไข่ผำ

สุรีย์พันธุ์ บุญวิสุทธิ์ (2550) ได้แสดงข้อมูลคุณค่าทางโภชนาการของไข่ผำ 100 กรัม ที่พบว่ามีสารอาหารโปรตีนที่มากกว่าโปรตีนในเนื้อสัตว์และถั่วเหลือง ดังนี้

  • พลังงาน 8.00 กิโลแคลอรี/100 กรัมน้ำหนักแห้ง ประกอบด้วย
    • โปรตีน ร้อยละ 6.80-45.00
    • ไขมัน ร้อยละ 1.80-9.20
    • เส้นใย ร้อยละ 5.70-16.20
  • แคลเซียม 59.00 มิลลิกรัม/100 กรัมน้ำหนักแห้ง
  • ฟอสฟอรัส 25.00 มิลลิกรัม/100 กรัมน้ำหนักแห้ง
  • เหล็ก 6.60 มิลลิกรัม/100 กรัมน้ำหนักแห้ง
  • วิตามินเอ 5346.00 IU/100 กรัมน้ำหนักแห้ง
  • วิตามินบี 0.03 มิลลิกรัม/100 กรัมน้ำหนักแห้ง
  • กรดอะมิโน
    • Alanine 1386.00 มิลลิกรัม/100 กรัมน้ำหนักแห้ง
    • Arginine 1045.00 มิลลิกรัม/100 กรัมน้ำหนักแห้ง
    • Aspartic acid 1576 มิลลิกรัม/100 กรัมน้ำหนักแห้ง
    • Cystine 339.00 มิลลิกรัม/100 กรัมน้ำหนักแห้ง
    • Glutamic acid 1723.00 มิลลิกรัม/100 กรัมน้ำหนักแห้ง
    • Glycine 756.00 มิลลิกรัม/100 กรัมน้ำหนักแห้ง
    • Histidine 335.00 มิลลิกรัม/100 กรัมน้ำหนักแห้ง
    • Isoleucine 524.00 มิลลิกรัม/100 กรัมน้ำหนักแห้ง
    • Leucine 1222.00 มิลลิกรัม/100 กรัมน้ำหนักแห้ง
    • Lysine 1094.00 มิลลิกรัม/100 กรัมน้ำหนักแห้ง
    • Methionine 176.00 มิลลิกรัม/100 กรัมน้ำหนักแห้ง
    • Phenylalanine 728.00 มิลลิกรัม/100 กรัมน้ำหนักแห้ง
    • Proline 820.00 มิลลิกรัม/100 กรัมน้ำหนักแห้ง
    • Serine 710.00 มิลลิกรัม/100 กรัมน้ำหนักแห้ง
    • Threonine 636.00 มิลลิกรัม/100 กรัมน้ำหนักแห้ง
    • Tryptophan 1272.00 มิลลิกรัม/100 กรัมน้ำหนักแห้ง
    • Tyrosine 1095 มิลลิกรัม/100 กรัมน้ำหนักแห้ง
    • Valine 774.00 มิลลิกรัม/100 กรัมน้ำหนักแห้ง
    • Total amino acids 16211.00 มิลลิกรัม/100 กรัมน้ำหนักแห้ง
    • Total essential acids 7860.00 มิลลิกรัม/100 กรัมน้ำหนักแห้ง

Monthakantirat, O. และคณะ (2022) ได้ทำการวิจัยไข่ผำ ชนิด W. globosa และพบว่าเป็นแหล่งสำคัญของสารต้านอนุมูลอิสระและมีศักยภาพในการพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร โดยสารประกอบสำคัญประกอบด้วย 

  • เบต้าแคโรทีน: 2.52 mg/g
  • กรดเฟอรูลิก: 1.40 mg/g
  • ลูทีโอลิน-7-O-β-D-glucoside: 2.42 mg/g
  • แคมเฟอรอล: 1.57 mg/g

แร่ธาตุที่พบมีปริมาณสูงสุดในสารสกัดจากไข่ผำสด คือ แมกนีเซียม โดยแร่ธาตุอื่น ๆ ที่วิเคราะห์ ได้แก่ เหล็ก, โพแทสเซียม, แคลเซียม, สังกะสี และโซเดียม ซึ่งไข่ผำสดมีปริมาณแร่ธาตุสูงกว่าสารสกัดจากไข่ผำแห้ง

กุลพร พุทธมีและวริศชนม์ นิลนนท์ (2564) กล่าวว่า คุณค่าทางโภชนาการของผำที่แตกต่างกันออกไป ขึ้นอยู่กับปัจจัยสภาพแวดล้อม การเพาะเลี้ยง และฤดูกาล

ประโยชน์ของไข่ผำ

วรรณิณี จันทร์แก้ว และอัมพร รัตนมูสิก. (2562) ได้รวบรวมประโยชน์ของไข่ผำไว้ ดังนี้

1.ไข่ผำจะมีรสชาติเหมือนผักทั่วไป ไม่มีกลิ่นเหม็นเขียว ชาวอีสานและชาวเหนือนิยมนำมาปรุงเป็นอาหารคาวหวานและเป็นตัวช่วยในการเพิ่มรสชาติให้กับอาหาร เช่น แกงอ่อม แกงปลา แกงไก่ แกงเนื้อ หรือตำกินสดคล้ายส้มตำหรือเป็นส่วนผสมของต้มยำ และเป็นส่วนประกอบในข้าวเกรียบกุ้งหรือแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ไข่ผำแผ่นทอดกรอบ เพื่อเพิ่มมูลค่าของไข่ผำให้สูงขึ้น ทั้งนี้ชนิดและปริมาณส่วนผสมที่ใช้นั้นขึ้นอยู่กับแต่ละท้องถิ่น การนำไข่ผำมาเป็นส่วนผสมของเครื่องจิ้ม เช่น เครื่องจิ้มของมันฝรั่งทอด การนำมาส่วนประกอบของขนมอบบางชนิด เช่น มัลเฟิน ใช้ตกแต่งหน้าพายแอปเปิ้ล 

ไข่ผำ ไข่น้ำ
แกงไข่ผำ

On-Nom, N.และคณะ (2023) พัฒนาขนมขบเคี้ยวจากผงผำแบบแช่แข็งอบแห้ง (WP) โดยใช้ผงผำแช่แข็งอบแห้งผสมกับแป้งข้าวเหนียวและแป้งมันสำปะหลัง โดยใช้วิธี Response Surface Methodology (RSM) ในการออกแบบสูตรเพื่อหาสูตรขนมที่เหมาะสมที่สุด จากการศึกษา พบว่าสูตรที่ดีที่สุดประกอบด้วยแป้งข้าวเหนียว 64%, แป้งมันสำปะหลัง 10% และ WP 26% ขนมที่ได้มีโปรตีนและเส้นใยอาหารสูงเมื่อเทียบกับสูตรควบคุม โดยโปรตีนเพิ่มขึ้น 51% และเส้นใยอาหารเพิ่มขึ้น 83% ซึ่งมีศักยภาพที่จะพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์ขนมขบเคี้ยวที่มีประโยชน์ทางโภชนาการสูง โดยเฉพาะโปรตีนและเส้นใยอาหารสำหรับการตลาดในอนาคต

2.การนำไข่ผำมาใช้เป็นส่วนประกอบของผลิตภัณฑ์อาหารเสริม โดยนำมาเตรียมให้อยู่ในรูปของสารประกอบเชิงซ้อนโซเดียมคอปเปอร์คลอโรฟิลลินเพื่อใช้เป็นผลิตภัณฑ์อาหารเสริมเป็นการเพิ่มมูลค่าให้วัตถุดิบท้องถิ่น ช่วยลดการนำเข้าผลิตภัณฑ์อาหารเสริมจากต่างประเทศ

3.ใช้ไข่ผำเป็นอาหารสำหรับสัตว์ ไข่น้ำมีโปรตีนอยู่ระหว่าง 19.3-45.0% ของน้ำหนักแห้งปริมาณ โปรตีนในไข่น้ำผันแปรตามปริมาณสารอาหารในน้ำ มีรายงานว่าการเสริมไข่ผำร้อยละ 10 ในอาหารเม็ดสำเร็จรูปเพื่อเลี้ยงปลานิลแดง ส่งผลให้ปลานิลแดงมีน้้าหนักตัวที่เพิ่มขึ้น อัตราการเจริญเติบโตประสิทธิภาพการใช้โปรตีนสูงที่สุด มีปริมาณโปรตีนในเนื้อสูงที่สุด และปริมาณไขมันในเนื้อต่ำที่สุด การเสริมไข่น้ำร้อยละ 15 ส่งผลให้ปลานิลมีความเข้มสีผิวและปริมาณแคโรทีนอยด์ในเนื้อปลาสูงที่สุด และการเสริมไข่น้ำในอาหารทำให้มีต้นทุนค่าอาหารต่อกิโลกรัมน้ำหนักตัวต่ำสุด

4.ใช้ไข่ผำเป็นแหล่งของสารต้านอนุมูลอิสระ (Antioxdant) โดยมีรายงานว่ามีการศึกษาเกี่ยวกับสมบัติการเป็นสารต้านอนุมูลอิสระจากไข่ผำ พบว่าไข่ผำที่สกัดด้วยเอทานอล ใช้เวลาสกัด 24 ชั่วโมงได้สารสกัดที่มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระร้อยละ 80.15

5.ใช้ไข่ผำเป็นแหล่งของรงควัตถุ (pigment) ไข่ผำมีสารสีหรือรงควัตถุหลายชนิดได้แก่ คลอโรฟิลล์ และเบต้าเลน (Betalains) ซึ่งมีรายงานว่า ไข่ผำมีสารสีในปริมาณที่สูงโดยพบปริมาณคลอโรฟิลล์ 30.17 มิลลิกรัมต่อ 100 กรัม และพบปริมาณสารสีของไข่ผำที่เพาะเลี้ยงด้วยน้้าจากบ่อปลาดุกมีแคโรทีนอยด์รวม 699.5 ไมโครกรัมต่อกรัมของน้้าหนักแห้ง นอกจากนี้ยังมีเบต้าแคโรทีน 64.16 ไมโครกรัมต่อน้ำหนักสด 1,000 กรัม (กองโภชนาการ, 2550)

6.ใช้ไข่ผำในการบำบัดน้ำเสียและดูดซับธาตุอาหาร โดยมีรายงานว่ามีการใช้ไข่ผำดูดซับธาตุอาหารในน้ำหมักมูลปลานิล พบว่าปริมาณแอมโมเนียลดลงเป็น 0 มิลลิกรัมต่อลิตร และสามารถลดปริมาณไนเตรท ไนโตรเจนรวม ออร์โธฟอสเฟต และฟอสฟอรัสรวมได้ การน้าไข่ผำบ้าบัดน้ำเสียจากฟาร์มสุกร สามารถลดบีโอดี ของแข็งแขวงลอยในน้ำได้มากกว่าร้อยละ 90

ไข่ผำ ไข่น้ำ
อาหารบ้าน ๆ ทะยานสู่อาหารสุดยอดของโลก

แกงไข่ผำใส่หมูสับ อาหารสุขภาพ

จิตติมา พีรกมล (2560) ได้พัฒนาตำรับอาหารพื้นบ้าน “แกงไข่ผำใส่หมูสับ” สำหรับผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูง

ส่วนประกอบ: ตะไคร้ 30 กรัม พริก 8 กรัม หมูสับ 80 กรัม ผำ 100 กรัม ปลาร้า 2 ช้อนโต๊ะ ใบแมงลัก 3 กรัม ผักชีลาว 10 กรัม

วิธีทำ

  1. โขลกพริก ตะไคร้ให้ละเอียด นำหมูสับลงไปคั่วกับเครื่องที่เตรียมไว้ ใส่น้ำปลาร้าลงไปผัดให้หอม
  2. พอหมูสุกใส่ผำลงไปและปรุงรส เติมน้ำเปล่าลงไป
  3. พอเดือดใส่ใบแมงลักและผักชีลาวลงไป

คุณค่าทางโภชนาการ “แกงผำใส่หมูสับ”

  • พลังงาน 139.88 กิโลแคลอรี
  • คาร์โบไฮเดรต 7.57 กรัม
  • ไขมัน 3.57 กรัม
  • โปรตีน 19.37 กรัม
  • แคลเซียม 130.31 มิลลิกรัม
  • เหล็ก 9.60 มิลลิกรัม
  • วิตามิน เอ 62.85 ไมโครกรัม RAE
  • Thiamin 1.15 มิลลิกรัม
  • Viboflavin 0.44 มิลลิกรัม
  • วิตามิน C 18.43 มิลลิกรัม
  • Niacin 4.82 มิลลิกรัม
  • Dietary Fiber 5.06 กรัม
  • โปแตสเซียม 444.55 มิลลิกรัม
  • โซเดียม 1200.82 มิลลิกรัม

บรรณานุกรม

กองโภชนาการ. (2544). ตารางแสดงชนิดและปริมาณกรดอะมิโนในอาหารไทย. กรมอนามัย, กระทรวงสาธารณสุข.

กุลพร พุทธมีและวริศชนม์ นิลนนท์. (2564). การพัฒนาผลิตภัณฑ์บะหมี่เสริมผำอบแห้ง. วารสารวิจัยและพัฒนา วไลยอลงกรณ์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ ปีที่ 16 ฉบับที่ 2 (พฤษภาคม-สิงหาคม) หน้า 57-69

จิตติมา พีรกมล, สุพรรณี พฤกษา และสุระเดช ไชยตอกเกี้ย. (2561). รายงานวิจัย เรื่อง การพัฒนาตำรับอาหารพื้นบ้านสาหรับผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูงในเขตอำเภอเมือง จังหวัดเลย. เลย: คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยราชภัฏเลย.

ประโชติ เปล่งวิทยา. (2544). ตารางแสดงชนิดและปริมาณกรดอะมิโนในประเทศไทย. นนทบุรี: กองโภชนาการ กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข.

ภาชณุมาศ ทองคำ. (2562). ผลของอุณหภูมิต่อฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระในไข่ผำแห้งและการประยุกต์ใช้ในผลิตภัณฑ์อาหาร. วิทยานิพนธ์ คหกรรมศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาเทคโนโลยีคหกรรมศาสตร์. ปทุมธานี: คณะเทคโนโลยีคหกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี.

วรรณิณี จันทร์แก้ว และอัมพร รัตนมูสิก. (2562). รายงานการวิจัยเปรียบเทียบคุณค่าทางโภชนาการ โลหะหนักตกค้าง สารสี และฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระของไข่น้า(Wolffia) จากธรรมชาติและการเลี้ยง. นครศรีธรรมราช: คณะเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลศรีวิชัย

สุรีย์พันธุ์ บุญวิสุทธิ์. (2550). ตารางแสดงคุณค่าทางโภชนาการของอาหารไทย. กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์องค์การทหารผ่านศึก.

อัจฉราภรณ์ ศุภกาญจนกุล. (2561). การศึกษาความเป็นไปได้ในการผลิตไบโอดีเซลจากผำด้วยยีสต์น้ำมัน. วิทยานิพนธ์ วิทยาศาสตรมหาบัณฑิต สาขาเทคโนโลยีพลังงานและการจัดการ. กรุงเทพฯ: ภาควิชาวิทยาศาสตร์ พลังงานและสิ่งแวดล้อม มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ.

Monthakantirat, O., Chulikhit, Y., Maneenet, J., Khamphukdee, C., Chotritthirong, Y., Limsakul, S., Punya, T., Turapra, B., Boonyarat, C., & Daodee, S. (2022). Total active compounds and mineral contents in Wolffia globosa. Journal of Chemistry, 2022, Article ID 9212872. https://doi.org/10.1155/2022/9212872

On-Nom, N., Promdang, P., Inthachat, W., Kanoongon, P., Sahasakul, Y., Chupeerach, C., Suttisansanee, U., & Temviriyanukul, P. (2023). Wolffia globosa-Based Nutritious Snack Formulation with High Protein and Dietary Fiber Contents. Foods, 12(14), 2647. https://doi.org/10.3390/foods12142647

Tag

การทอผ้าไหม การทำต้นเทียนพรรษา การท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม การปฏิบัติธรรม การแกะสลักเทียนพรรษา ครูภูมิปัญญาไทย บุญมหาชาติ บุญเดือนแปด ชุมชนทำเทียนพรรษา บ้านชีทวน พักผ่อนหย่อนใจ พิพิธภัณฑ์พื้นบ้าน พิพิธภัณฑ์ท้องถิ่น ดนตรีพื้นบ้าน ดนตรีพื้นเมืองอีสาน ต้นเทียนพรรษาประเภทติดพิมพ์ ต้นเทียนพรรษาประเภทแกะสลัก ประวัติศาสตร์ท้องถิ่น ประเพณีท้องถิ่น ประเพณีอีสาน ประเพณีแห่เทียนพรรษา วัดหนองป่าพง วิถีชีวิตคนอีสาน วิปัสสนากรรมฐาน ศิลปกรรมญวน ศิลปกรรมท้องถิ่นอีสาน ศิลปะญวน สถาปัตยกรรมท้องถิ่น สถาปัตยกรรมท้องถิ่นอีสาน สถาปัตยกรรมในพุทธศาสนา สาขาวัดหนองป่าพง สิม หัตถกรรมการทอผ้า อำเภอพิบูลมังสาหาร อำเภอตระการพืชผล อำเภอน้ำยืน อำเภอม่วงสามสิบ อำเภอวารินชำราบ อำเภอเขมราฐ อำเภอเขื่องใน อำเภอเดชอุดม อำเภอเมืองอุบลราชธานี อุบลราชธานี อุโบสถ ฮีตสิบสอง