การกำเนิดเกิดมาเป็นคน
นับตั้งแต่ปฏิสนธิ (อยู่ในท้อง) จนถึงคลอดออกมา เรียก การเกิด ผู้คนเกิดมาจะดีหรือชั่ว สำคัญที่สุดอยู่ที่พ่อแม่ ถ้าทั้งสองคนนี้ดี ลูกที่เกิดมา ก็จะเป็นคนดี ดังนั้นคนโบราณจึงสอนให้สร้างแต่ความดีโดยวางหลักการสร้างไว้ดังนี้
- การสร้างพระพุทธรูป ณ สถานที่อันเป็นส่วนรวม เช่น ศาลาโรงธรรม หรือ ศาลากลางบ้าน คนโบราณชอบสร้างพระพุทธรูปที่สวยงามไว้เวลาคนผ่าน ไปมาให้แลเห็นถนัด จักได้เกิดศรัทธามีความเคารพนับถือ เมื่อเวลาตั้งครรภ์ น้อมนึกถึงพระพุทธรูปจิตใจก็จะสงบสบาย ลูกที่เกิดมาก็จะเป็นคนที่มีจิตใจดีงาม มีศีลธรรมและรูปร่างสวยงาม เหมือนพระพุทธรูปที่สร้าง
- การสร้างหิ้งพระบนหัวนอน คนโบราณชอบสร้างหิ้งพระไว้ในห้องนอน มีพระพุทธรูปปางต่างๆ ไว้เพื่อสักการะบูชา
วันธรรมดา ก่อนจะนอนก็นำเครื่องสักการะ มีพระ ประทีป ธูป เทียน ข้าวตอก และดอกไม้ ไปสักการะ
วันศีลวันพระ ก็นำน้ำอบน้ำหอมพร้อมเครื่องสักการะไปหดสรงพระ สำหรับหญิงที่เริ่มตั้งครรภ์ เวลาสักการะ ก็ตั้งจิตอธิษฐานขอให้ได้ลูกที่ดีมาเกิด
- การสร้างภาพ ในห้องนอนของคนโบราณ มักจะมีรูปเขียน รูปหล่อ หรือรูปปั้นของคนสำคัญ ๆ เช่น รูปพระพุทธเจ้า รูปพระสาวกรูปวีรชนรูปบรรพบุรุษ รูปบิดามารดา เป็นต้น เวลาเข้าไปในห้องนอนแต่ละครั้งระลึกถึงบุคคลนั้น เป็นประจำเวลามีครรภ์ลูกก็จะเหมือนบุคคลนั้น ๆ การที่คนโบราณสร้างพระพุทธรูปก็ดี สร้างหิ้งพระ หรือสร้างภาพก็ดีไว้ในห้องนอน ความประสงค์ส่วนหนึ่งก็เพื่อแนะแนวทางให้สร้างคน ถ้าทำได้ก็จะนำคนดีคนงามมาเกิด
- คนกลับเพศ ในสมัยพระพุทธเจ้าของเรา พระสาวกชื่อ พระมหากัจจายน์ ท่านมีรูปร่างสวยสดงดงาม ลูกชายเศรษฐีชื่อ โสเรยยะ ไปเห็นเข้า คิดอยากได้ท่านมาเป็นเมีย พอคิดเช่นนั้นแล้ว ลูกชายเศรษฐีก็กลายเป็นหญิง อยู่ต่อมาได้แต่งงานกับลูกชายเศรษฐีเมืองตักศิลา อยู่กันจนได้บุตร 2 คน เมื่อรู้สึกสำนึกตัวกลัว ความผิดจึงได้ไปขอโทษต่อพระมหากัจจายน์ ท่านขมาโทษให้แล้ว ก็กลับเป็นชายตามเดิม
อีกเรื่องหนึ่ง ฝรั่งผิวขาวสองผัวเมียแต่งงานกันใหม่ ได้ผู้ชายแขกดำเป็นคนใช้ ขยันหมั่นเพียรซื่อสัตย์และจงรักภักดี เป็นที่พออกพอใจของเมียฝรั่ง ต่อมาเมียฝรั่งตั้งครรภ์ เวลาคลอดออกมาลูกมีรูปร่างหน้าตาเหมือนแขกดำ แม้จะซักไซ้ไล่เลียงจนเรื่องขาวสะอาด แล้วก็ตาม ฝรั่งผู้ผัวก็ไม่พอใจเขาแบ่งข้าวของเงินทองให้เป็นค่าแรงแขกดำแล้วให้ออกจากเรือนไป แขกดำลืมรูปถ่ายของตนไว้ เมียฝรั่งเวลาเดินเข้าออกในบ้านก็เห็นแต่รูปของแขกดำ ภายหลังตั้งครรภ์อีกพอคลอดลูกออกมาก็มีรูปร่างหน้าตาเหมือนแขกดำอีก ฝรั่งผู้ผัวจึงหายสงสัย ได้ใช้ให้คนไปตามเอาแขกดำคนใช้นั้นมาอยู่ด้วยกันจนตลอดชีวิตนี่ก็เป็นเรื่องที่น่าแปลก
- คนบุญคนบาปมาเกิด ขณะที่ลูกอยู่ในท้อง ถ้าเป็นคนมีบุญมาเกิด ผู้เป็นแม่จะมีความสุขกายสบายใจ เช่น แม่พระติสสะ พอพระติสสะเกิดแม่ก็อยากทำบุญให้ทาน ถึงกับถวายข้าวมธุปายาสแด่พระสงฆ์ มีองค์พระสารีบุตรเป็นประธาน
ถ้าเป็นคนบาปมาเกิดแม่จะทนทุกข์ทรมาณมีการเจ็บไข้ได้ป่วย เวลามีอะไรมากระทบมักจะไม่พอใจ แสดงความไม่พอใจออกมานอกหน้าบางรายเป็นศัตรูต่อผู้ให้กำเนิดของตนก็มี เช่น พระเจ้าอชาตศัตรู พระโอรสของพระเจ้าพิมพิสารและพระนางเวเทหิ พอเริ่มตั้งครรภ์พระนางก็อยากดื่มกินพระโลหิตของพระสวามี จนพระสวามีให้แพทย์มาเจาะพระโลหิตที่ลำแขน 1 จอกทอง พอพระนาง ได้เสวยอาการแพ้ท้องก็สงบ ในเวลาประสูติพระโอรสปืนผาหน้าไม้ในพระนครก็เกิดลุกเป็น เปลวเพลิงไปหมด ต่อมา เมื่อพระเจ้าอชาตศัตรูเจริญวัยได้คบคิดกับพระเทวทัตแย่งเอาราชสมบัติชิงบัลลังค์ แล้วฆ่าพระเจ้าพิมพิสารผู้เป็นบิดาให้ตาย
- คนเกิดเป็นสัตว์ สัตว์เกิดเป็นคน เวลาใกล้จะตาย ถ้าใจไปนึกไปห่วง เอาอะไรมาเป็นอารมณ์ก็มักจะเกิด เป็นสิ่งนั้น ข้อนี้มีเรื่องเล่าในพระธรรมบทว่า
"ณ เมืองอัลลกัปปะ เกิดฝนแล้ง นายโลกุตตะลิกกับนางกาลีพากันอุ้มลูกน้อยมุ่งสู่เมืองโกสัมพีเพื่อขอทาน สู้กับความหิวโหยไม่ได้ จึงทิ้งลูกน้อย ไว้กลางทาง แล้วเดินต่อไปจนถึงบ้านพักคนเลี้ยงโค ที่นั้นเขาทำบุญเลี้ยงพระปัจเจก เขาได้ให้ทานอย่างเหลือเฟือแก่สองผัวเมีย ผู้ผัวนั้นกินเกินประมาณ อาหารไม่ย่อย พอตกกลางคืนเขาก็ตาย แต่ก่อนตายเขาได้เหลือบเห็นนางสุนัขของคนเลี้ยงโค ที่อุดมสมบูรณ์ด้วยอาหาร เขารู้สึกรักใคร่พอใจมัน พอตายแล้วเขาได้เกิดในท้องของนางสุนัขนั้น
ส่วนสัตว์ที่ตายแล้ว ได้มาเกิดเป็นคน มีเรื่องเล่าไว้ว่าครั้งหนึ่ง พระพุทธเจ้าตรัสถึงบูรพกรรมของภิกษุ ผู้เป็นคนใจร้ายชอบดุด่าว่ากล่าวผู้อื่น พระองค์ตรัสว่า แต่ก่อน เธอเกิดเป็นเสือ ชอบจับเนื้อกินเป็นอาหารมาบัดนี้เธอเกิดเป็นคนแล้ว บวชเป็นพระภิกษุก็ยังใจคอดุร้ายคล้ายเสืออยู่
- ชายเกิดเป็นหญิง หญิงเกิดเป็นชาย ชายที่ประพฤติย่อหย่อนต่อศีลธรรม เช่น มีการเล่นชู้สู่เมียท่าน เป็นต้น ตายแล้วไปเกิดเป็นหญิง มีเรื่องเล่าไว้ว่า พระอานนท์ คราวเกิดเป็นลูกช่างทองได้เป็นชู้สู่เมีย ท่านตายแล้วได้ไปเกิดในนรก พ้นจากนรกแล้ว ได้ไปเกิดเป็นนางบำเรอสี่สิบชาติ พ้นจากนั้นได้ไปเกิดเป็นบุรุษถูกเขาตอนถึงเจ็ดชาติเมื่อสิ้นกรรมแล้วได้มาเกิดเป็นพระอานนท์
ส่วนหญิงที่ต้องการจะเกิดเป็นชาย ท่านสอนให้ทำตนดังนี้
- ให้ทำบุญให้ทาน รักษาศีล เจริญเมตตาภาวนา
- ปฏิบัติสามีให้ดี
- ไม่นอกใจสามี
ก่อนจะสิ้นใจให้ตั้งจิตอธิษฐานขอให้เกิดเป็นชาย ตายแล้วก็ได้เกิดเป็นชาย
จากหลักฐานที่ยกมาเป็นตัวอย่าง เท็จจริงแค่ไหนโปรดตัดสินเอาเอง ทางพระพุทธศาสนาสอนว่า ชั่วดีอยู่ที่ใจ ใครอบรมใจได้ คนนั้นเป็นคนดี การสร้างคนให้ดีผู้สร้างต้องเป็นคนดี
การสมสู่อยู่ร่วมกันนั้น ทางพระพุทธศาสนาสอนให้มีความสันโดษ คือ พอใจเฉพาะในผัวเมียของตน มิให้ทำการสมสู่แบบสัตว์เดรัจฉาน หากทำแบบนั้นถือว่าบาป บางรายถึงกับตกนรกหมกไหม้ พ้นจากนรกก็มาเกิดเป็นคนใบ้บ้าเสียจริตผิดมนุษย์ บางรายก็เกิดเป็นสัตว์เดียรัจฉาน ให้เขาทุบตีทรมาน การฆ่าหรือรีดลูก ในท้องให้ตาย ก็ถือว่าเป็นบาปหนักจะถูกเขาฆ่าตายถึง 500 ชาติ
สำหรับวันทำการประเวณีนั้น โบราณห้ามมิให้ทำในวันศีล วันพระ ที่บริเวณวิหาร ลานเจดีย์ ลานวัด ใกล้พระพุทธรูป ห้ามมิให้ทำกับคนต่างชาติ ต่างศาสนาอันจะเป็นการสับสนปนเป เป็นเหตุให้ไม่บริสุทธิ์
การอบรมเด็กในท้องในเวลามีครรภ์ โบราณสอนให้พักผ่อนไม่ให้ทำงานที่หนัก สำหรับการอยู่กินก็ห้ามมิให้กินอาหารที่เปรี้ยวหวาน มัน เค็ม เผ็ดร้อนจนเกินไป ด้วยกลัวเป็นอันตรายแก่เด็กในท้อง การยืน เดินนั่งนอน ก็ให้ระมัดระวังให้ทำบุญให้ทานรักษาศีลเมตตาภาวนาการทำทั้งนี้เป็นการรักษาและอบรมเด็กในท้องให้เป็นคนดีนั่นเอง
การคลอด โบราณว่าไว้ว่า "ผู้สาวมานเก้าผู้เฒ่ามานสิบ" หมายความว่า หญิงที่มีท้องคนหัวปี (คนแรก) ครบเก้าเดือนจึงจะคลอด มีท้องคนที่สองไปมีครบสิบเดือนจึงจะคลอด เมื่อถึงเวลาจะคลอดพอรู้สึกปวดท้อง ให้ไปเชิญหมอตำแยมาไว้ ถ้ามีเครื่องรางของขลังให้เอาเก็บรักษาไว้ที่อื่นห้ามมิให้คนยืนขวางประตู หรือบันได ห้ามมิให้พูดเรื่องซึ่งถือว่าเป็นอุปสรรคต่อการคลอด
เมื่อคลอดแล้วเตรียมทำเตาไฟ หาหม้อและฟืนมาจุดต้มน้ำให้อยู่ไฟ (อยู่กรรม) ต่อไป ฟืนอยู่ไฟที่กองชันไว้ให้ล้มเวลาตกฟากไม้ไผ่ที่เอามาสับติดกันเป็นแผ่นใช้นั่งในเวลาจะคลอด เรียกว่า ฟาก
เวลาตกฟาก คือ เวลาที่คลอดออกมาแล้วตกถึงฟาก เวลาตกฟาก นี้ถือกันว่าเป็นเวลาเกิดและเป็นเวลาสำคัญมาก ผู้เป็นพ่อแม่จะต้องจำเวลา วัน เดือน ปีเกิดของเด็กไว้ให้แม่นยำเพื่อสะดวกในการที่จะนับอายุในเวลาบวช เวลาแต่งงานหรือจะดูฤกษ์งามยาม เวลาตกฟาก นี้ให้ข้อสังเกตไว้ว่า หญิงตกหงาย ชายตกคว่ำ กล่าวคือ เวลาคลอด หญิงจะต้องหงายหน้าขึ้น ชายจะต้องคว่ำหน้าลง ถ้าหญิงตกคว่ำ ชายตกหงาย ถือว่าผิดธรรมเนียม ถ้าใครเป็นเช่นนั้น เวลาคลอดออกมาเขาจะเอามือจับองคชาติ (ของลับ) เพื่อว่าต่อไปเด็กจะมีเพศนี้เขาจะต้องเป็นหมัน แต่งงานแล้วไม่มีลูก ไม่พิกลพิการ
การตัดสายแฮ่ สายที่โยงจากแฮ่ (รก) มาหาสะดือ เรียก สายแฮ่ สายแฮ่นี้จะต้องตัด เขามัดเป็นเปราะ ๆ ให้แน่น ให้ตัดยาวเสมอเข่าเด็ก ของที่จะตัดใช้ติว (ผิว) ไม้ฮวก (ไม้ไผ่) หรือกาบหอย ห้ามมิให้เอามีดหรือเหล็กตัด เพราะจะเป็นพิษ เขียงรอง ตัดใช้ว่านไฟ ก้อนหินหรือถ่านไฟ คนที่จะตัดก็เลือกเอาคนที่มีนิสัยใจคอดีด้วย ถือว่าเด็กที่เกิดมาจะมีนิสัยใจคอคล้ายกับผู้ตัดสายแฮ่
การอาบน้ำเด็ก เมื่อตัดสายสะดือแล้ว เอาน้ำอาบให้เด็ก ถ้ามีไขมันหรือเมือกติดต้องเอาน้ำมันมะพร้าวทาตามตัว แล้วเอาผ้าเช็ดจึงอาบน้ำให้ วิธีอาบน้ำให้นั่งเหยียดขาทั้งสองข้างออกให้ตรง เอาเด็กวางลงในระหว่างขาหันหัวเด็ก ไปทางปลายเท้าแล้วเอาน้ำอาบให้และให้ดัดแข้งขามือเท้าให้ตรงด้วย เมื่ออาบน้ำแล้วเอาผ้าขาวยาวเท่าลำตัวมาเจาะเป็นรูตรงกลางระหว่างสะดือวางทาบลงบนท้องสอดสายสะดือเป็นวงวางไว้บนผ้า แล้วเอาเชือกรัดไว้ทั้งสองข้าง จึงเอาเด็กใส่ในกระด้ง
การฮ่อนกระด้ง ก่อนจะเอาเด็กวางลงกระด้งให้เอาเบาะปูลง แล้วเอาผ้าขาวรองจึงเอาเด็กวางลง กระด้งนั้นใช้ทางด้านหลัง แล้วนำกระด้งเด็กไปที่ประตูเรือนทำการผอกผีพราย ผายผีป่า เอากระด้งเคาะกับประตูเบาๆ ว่า กูหุก กูหุก กุกกู กุกกู แม่นลูกสูมา เอามื้อนี้กลายมื้อนี้เมื่อหน้าลูกกู ว่าดังนี้สามหนด้วยถือว่าในระหว่าง สามวันลูกผี วันสี่เป็นลูกคน พอผอกแล้วนำกระด้งเด็กไปวางข้างแม่ของเด็ก แล้วเสกคาถาเอาด้ายสายสิญจน์วงรอบผูกข้อต่อแขนให้ทั้งแม่และเด็ก ในขั้นตอนของการฮ่อนกระด้งนั้น หากเป็นเด็กผู้หญิงจะเอาเข็ม ด้าย หรืออุปกรณ์เย็บปักถักร้อยวางลงในกระด้งก่อน แล้วค่อยเอาเบาะปูทับ ว่าจะทำให้เป็นคนเรียบร้อย เป็นแม่บ้านแม่เรือน หากเป็นเด็กชาย จะเอาสมุด ดินสอ วางลงทำเช่นเดียวกัน จะทำให้เป็นคนรักเรียนเขียนอ่าน โตขึ้นจะได้เป็นเจ้าคนนายคน
การฝังสายแฮ่ เมื่อตัดสายแฮ่ออกแล้ว เอาใบตองเกลือมาห่อ แล้วนำไปฝังใต้บันไดชานเรือน เอาไฟสุมไว้สามวันสามคืน ที่เอาไฟสุมไว้ทั้งกลางวันกลางคืนโบราณถือว่าป้องกันผีพราย มิให้มาทำอันตรายแก่เด็ก
การอยู่กรรม หรือ การอยู่ไฟ เมื่อจะอยู่ไฟ ต้องมีการทำพิธีดับพิษไฟเสียก่อน โดยเสกข้าวสารกับเกลือ ด้วยคาถา " พุทโธ โลกนาโถ โมคัลลาโน อคคีสยายมม" เรียกคาถาบทนี้ว่า พระโมคัลลาน์ดับไฟนรก เสกคาถาแล้วเคี้ยวข้าวสารกับเกลือ พ่นที่ท้องของผู้ที่อยู่ไฟ 3 ครั้ง ที่หลัง 3 ครั้ง ที่เตาไฟ 3 ครั้ง จัดหาข้าวตอก ดอกไม้ ธูป เทียน พร้อมทั้งกระทงสังเวย ประกอบด้วยกุ้งพล่า ปลายำ เป็นการเซ่นสังเวยแม่ก้อนเส้าเตาไฟ และขอขมาลาโทษต่อพระเพลิง ธูป เทียน นั้นจะใช้อย่างละ 4 ปักที่ 4 มุมเตา ก่อนขึ้นนอนบนกระดานไฟต้องทำเข้าขื่อเสียก่อน คือ นอนตะแคงให้หมอตำแยเหยียบตะโพกซึ่งครากจากการคลอด ให้ตะโพกเข้าที่เสียก่อนแล้ว จึงขึ้นนอนบนกระดานไฟได้ ก่อนขึ้นนอนก็ต้องกราบขอขมาเตาไฟด้วย จึงจะขึ้นนอนได้ นอกจากนั้นแล้ว หมอตำแยจะเสก ขมิ้น ปูนแดงและเหล้าขาวทาที่ท้อง และหลังของผู้ที่อยู่ไฟด้วยเพื่อเป็นการดับพิษร้อน
การอยู่ไฟหรือการอยู่กรรมนั้นก็เพื่อย่างตัวและในขณะที่อยู่ไฟ ต้องกินน้ำร้อน หม้อน้ำร้อน เรียกว่า หม้อกรรม อาจจะผสมสมุนไพรลงไปด้วยก็ได้ หม้อน้ำร้อนจะตั้งไว้ใกล้ ๆ กับผู้ที่อยู่ไฟ เพื่อให้สะดวกเวลาตักกินการกินน้ำร้อนเพื่อทำให้ร่างกายขับเหงื่อ ขับปัสสาะออกมาก็เป็นการขับพิษออกจากร่างกายได้อีกวิธีหนึ่ง ถ้าเป็นแม่ใหม่ต้องอยู่ไฟอย่างน้อย 15 วัน แม่เก่า 7 – 8 วัน ถ้าเห็นว่าจะปลอดภัยจะอยู่น้อยกว่านั้นก็ได้ สำหรับอาหารการกิน ผู้อยู่ไฟจะต้องคะลำ (เว้นของที่แสลง) ในระหว่างที่อยู่ไฟนั้น จะมีญาติพี่น้องนำอาหารการกิน กล้วย อ้อย มาฝากไม่ขาด แม้จะไม่มีอะไรมาฝากก็มาเยี่ยมถามสารทุกข์สุกดิบเป็นการแสดงออกซึ่งไมตรีจิตของพี่น้องประการหนึ่ง
การปักตาแหลวห้อ เมื่อเข้ากรรมแล้วเขาจะทำตาแหลวห้อ (เฉลว) อันหนึ่งขนาดเท่าฝาบาตร เอาด้ายสีดำแดงขาววงรอบ ผูกติดปลายไม้ไผ่ปักไว้ข้างบันไดเบื้องขวา จนกว่าจะออกไฟการปักตาแหลวห้อไว้นี้ ถือว่าเป็นการป้องกันภูตผี ปีศาจ อีกอย่างหนึ่งแสดงให้เห็นว่าบ้านนั้นมีคนอยู่ไฟ ธรรมเนียมมีอยู่ว่า ผู้จะไปเยี่ยมก็ให้ระวังปาก คืออย่าพูดถึงเรื่องร้อน จะทำให้ผู้อยู่ไฟเกิดผด เป็นผื่นคันพุพอง
การนอนอู่ ที่นอนของเด็ก ซึ่งเขาสานด้วยไม้ไผ่เป็นตาห่าง ๆ เรียกว่า อู่ หรือ เปล ก่อนที่จะเอาเด็กลงนอนในอู่ต้องให้ครบ 3 วันเสียก่อน ในขณะที่ยังไม่นอนอู่นั้นจะเอาเด็กนอนในกระด้ง เวลาจะลงอู่ ต้องมีการเชื้อเชิญญาติพี่น้องมาทำพิธี ถ้าเป็นชายเอากระดาษดินสอลงในอู่ด้วย โดยถือว่าเวลาเด็กเจริญเติบโตขึ้น จะได้เป็นคนรู้หลักนักปราชญ์ ถ้าเป็นหญิงเอาด้ายและเข็มลงในอู่ด้วย โดยถือว่าเมื่อโตขึ้นจะได้ฉลาดในกิจบ้านการเรือนมีการเย็บปักถักร้อย เป็นต้น ซึ่งเหมือนกับการนอนกระด้ง
การออกกรรม เมื่ออยู่ไฟครบกำหนดแล้ว ก็จัดการออกกรรม พิธีทำมีการบูชาเตาไฟด้วยดอกไม้ธูปเทียนให้หมอทำน้ำมนต์ดับพิษไฟให้ ต่อไปอาบน้ำเย็น กินอาหารก็ไม่ต้องคะลำ สิ่งที่ต้องห้ามอีกอย่างคือไม่ให้สมสู่อยู่ร่วมกัน เกรงเป็นอันตรายต่อมดลูก หรือมีลูกถี่เกินไป
การเข้ากระโจม กระโจมในสมัยก่อนจะทำเป็นโครงไม้ไผ่คล้ายสุ่มไก่ เอาผ้าคลุม มีหม้อต้มยาสมุนไพร ซึ่งได้แก่ เปลือกส้มโอ ใบส้มป่อย ว่านน้ำ ผักบุ้งล้อม มะกรูด เกลือ เป็นต้น ต้มพอน้ำเดือดแล้วต่อท่อให้ไอน้ำเข้าไปในกระโจม ก่อนเข้ากระโจม เอาว่านนางคำ ฝนหรือตำคั้นเอาแต่น้ำ ผสมกับเหล้าขาวและการบูร ทาให้ทั่วตัวก่อนแล้วจึงเข้ากระโจม ช่วยขับเหงื่อ ขับพิษและยังป้องกันฝ้าขึ้นหน้าอีกด้วย
การประคบตัว คือ กรรมวิธีการรักษาตัวอย่างหนึ่ง โดยใช้ลูกประคบ ประคบตามมือเท้า ท้องน้อยบริเวณหัวเหน่า เต้านม ช่วยบรรเทาอาการปวดเมื่อยและช่วยให้มดลูกกลับเข้าอู่เร็วขึ้น วิธีทำลูกประคบ ใช้ ไพล ว่านนางคำ ขมิ้นอ้อย ใบมะขาม ใบส้มป่อย ตำเคล้ากับเกลือ ห่อผ้าขาว จุ่มน้ำที่เหลือจากการเข้ากระโจม นอกจากนั้นแล้วน้ำที่เหลือจากการเข้ากระโจมก็ดี น้ำที่เหลือจากการประคบก็ดี สามารถนำมาใช้อาบได้อีกด้วย
การนาบหม้อเกลือ วิธีการทำ เอาเกลือบรรจุลงในหม้อตาลมีฝาละมีแล้วตั้งไฟ พอเกลือแตกดังเผียะ ๆ ยกหม้อเกลือวางลงบนใบพลับพลึง หรือ ใบละหุ่งและเอาผ้าห่อหม้อตาล พร้อมใบละหุ่ง คลึงตามตัว ช่วยให้หายปวดเมื่อย ปกติแล้วจะทำวันละ 2 ครั้ง เช้า บ่าย ทุกวันจนกว่าจะออกไฟ
การนั่งถ่าน ใช้ผิวมะกรูดตากแห้ง ว่านน้ำ ว่านนางคำไพล ขมิ้น อ้อยชานหมาก ชลูด ขมิ้นผง ใบหนาด ทั้งหมดหั่นละเอียด ตากแดด ใช้โรยบนเตาไฟขนาดเล็กๆ ให้ไอพลุ่งขึ้นสู่ก้นของผู้ที่คลอดลูกใหม่ เป็นการสมานแผล ที่เกิดจาก การคลอดลูก จะพบว่าสมุนไพรที่ใช้ในการรักษาจะเป็นสมุนไพรที่หาได้ง่ายๆ และใช้ในชีวิตประจำวัน หาได้สะดวก หากมีไม่ครบขาดอย่างใด อย่างหนึ่งก็สามารถใช้ได้เช่นกัน
การอยู่ไฟ การประคบตัว การนาบหม้อเกลือ หรือแม้แต่การนั่งถ่านล้วนเป็นขั้นตอนการบำบัดรักษาด้วยความร้อนแทบทั้งสิ้น ถือว่าคนคลอดลูกเป็นคนที่มีมลทิน การคลอดลูกจะมีเลือดฝาด และสิ่งโสโครกออกมาย่อมถือว่ามีมลทิน การชำระล้างมลทินมีอยู่ 2 อย่าง คือ ชำระล้างด้วยน้ำ หรือ ไฟ เพื่อให้สิ่งที่เป็นมลทินเหือดแห้งไป
การสู่ขวัญ พอออกกรรมแล้วในเช้าวันนั้น ญาติพี่น้องจะจัดทำพิธีสู่ขวัญให้ด้วยถือว่าตลอดเวลาที่อยู่กรรมต้องทนทุกข์ทรมานเอาตัวย่างไฟ กินน้ำร้อน นอนไม่เต็มตา ว่ากันว่าผู้ที่อยู่ไฟจะให้นอนแต่ตอนหัวค่ำเท่านั้น พอหลังจาก 5 – 6 ทุ่มต้องให้ตื่นอยู่ตลอดจนถึงรุ่งเช้าเหตุเพราะเกรงภูตผีจะมาเอาชีวิตผู้ที่อยู่ไฟหากมัวนอนหลับอยู่ก็จะโดนผีเอาไป นอกจากนั้นแล้วต้องอดอาหารการกิน เสียเลือดเนื้อไปเพราะการนี้ พอออกกรรมแล้ว ก็ต้องเรียกเอาขวัญคืนมา เพื่อให้อยู่เย็นเป็นสุขแล้วผูกข้อต่อแขนให้ทั้งแม่และลูก
การตั้งชื่อ คนโบราณชอบตั้งชื่อเด็กม่วนๆ (ไพเราะ) โดยมากเป็นชื่อสองพยางค์ ถ้าชื่อบุญ ก็มี บุญมี บุญมา บุญสี บุญสา ถ้าชื่อ คำ ก็มีคำม คำมา คำสี คำสา เป็นต้น ถ้าเป็นคนเลี้ยงยากถึงกับได้ไปประเคนเป็นลูกพระ ก็ตั้งชื่อเป็น เคน เช่น เคนมี เคนดี เคนสี เคนสา ถ้าเกิดวันแข็ง ก็ตั้งชื่อให้เป็น อ่อน เช่น อ่อนสี อ่อนสา อ่อนตา ถ้าเกิดวันจันทร์ถือว่าเป็นวันอ่อน ก็ตั้งชื่อให้ แข็ง เช่น ทอง ทองคำ ทองแดง ทองแสง เป็นต้น
ของเด็กเล่น คนโบราณชอบเย็บผ้าทำเป็นรูปตุ๊กตา ภายในยัดด้วยนุ่นหรือสำลี ทำเป็นรูปผู้หญิงผู้ชาย เพื่อให้เป็นเพื่อนเล่นของเด็ก นอกจากนี้ก็เลี้ยงลูกหมาไว้เป็นเพื่อนเล่นของเด็ก ถ้าเด็กมีของเล่นอย่างนี้พ่อแม่จะเบาใจ เกี่ยวกับการเกิดนี้ พ่อแม่และลูก ต่างมีความสำคัญจะดีแต่พ่อแม่ ลูกไม่ดีก็ไปไม่รอดต้องดีทั้งพ่อแม่ลูกที่ถือว่าดีนั้น คือทุกคนมีหน้าที่และต้องทำตามหน้าที่
หน้าที่ของพ่อแม่ พ่อแม่นอกจากจะดีในด้านต่างๆ มากมายหลายประการก็ตาม จะต้องทำหน้าที่เกี่ยวกับลูกอีก คือ
- ห้ามไม่ให้ลูกทำความชั่ว
- สอนให้ลูกทำความดี
- ให้ลูกได้ศึกษาเล่าเรียน
- หาคู่ครองที่สมควรให้
- มอบมรดกให้ในเวลาอันควร
หน้าที่ของลูก ลูกที่ดีนอกจากจะทำตัวให้ดีแล้วจะต้องทำดีต่อพ่อแม่ผู้บังเกิดเกล้าอีก คือ
- เลี้ยงดูบำรุงรักษาพ่อแม่
- ทำการงานช่วยพ่อแม่
- ดำรงวงศ์สกุลของพ่อแม่
- ประพฤติตนให้เป็นคนดีของพ่อแม่
- เมื่อพ่อแม่ตายไปแล้วให้ทำบุญอุทิศให้พ่อแม่
พ่อแม่และลูก ต่างฝ่ายต่างทำหน้าที่ดังกล่าวให้เต็มเปี่ยม เขาก็จะมีแต่ความสุขความเจริญ ถ้าต่างฝ่ายต่างเพิกเฉยไม่เอาธุระ ก็จะตรงกับภาษิตโบราณที่ว่า "พ่อแม่บ่สอนลูกเต้า ผีเป้าจกกินตับกินไต ลูกบ่ฟังคำพ่อแม่ ผีแก่เข้าหม้อนะฮกทั้งดิบ" ซึ่งก็หมายความว่า จะต้องเสื่อมเสียทั้งสองฝ่ายนั้นเอง
ที่มา : อรทัย เลียงจินดาถาวร. (2545). การจัดสร้างฐานข้อมูลและเผยแพร่ประเพณีการดำรงชีวิตของชาวไทยอีสานบน Web site. อุบลราชธานี: สำนักวิทยบริการ