ฟังลำกลอน เรื่อง คนบ่อศาสนา โดย หมอลำทองคำ วงษาคำ และหมอลำอรทัย ซึมรัมย์
กลอนลำทางสั้น เรื่อง คนบ่อมีศาสนา
สร้อยโอ่
เส เลยสิว่า สมัยนี้สมัยใหม่ คนหากินปิ้นไป่มึงหนึ่งกูสอง แบ่งเป็นกลุ่มเป็นกอง นายในประเทศ จักแบ่งสรรปันเขตสารพัด แนวเป็น คือมีกรรมมีเวร ปรางหลังสร้างก่อ แหม่นบ่แล้วคุณพ่อตามแต่ซอมเห็น หน่อยผัดว่าแยกเป็นสีนั้นสีนี้ ยังกะเหม็นปานขี้ แท้มนุษย์หัวงอน หรือถืกมาฮอดตอนพุทธทำนายเว้าว่า เถิงแล้วบ้อแม่ย่าห่าก้อน จอมธรรม คนบ่ยำกฎหมาย ฆ่ากันตายเป็นเบือ เหลือสามห่มโพธิ์ศรีดั่งอัคคีลามลน คนบ่มีศิลธรรม เวรกรรมน้าวนำจ่อง ยอโลกเปิดปอง นารกอเวจี มองเห็นดีเป็นเลว วิ่งสู่เหวแนวทราม กรรมได้ตามนำลงทัน ให้หมู่เจ้าคิดห่ำ แน่เดอป้า
เดินกลอน
แหม่นว่าเดอลุง คันการลำนี้ มีมาแบบใหม่ นำสมัยยุคนี้ทวีขึ้นกั่วหลัง แต่ก่อนครั้งลำใส่เสียงแคน สุดสะแนนลายหม่วนดีคีค้อย เสียงแคนสร้อย ลำโอ๋ฮ้องโอ่ คนกะโฮแตกตึ้งมาค้รนั่งฟัง นี้แต่ครั้งปรางก่อนลำกลอน หากบ่มีแสงสีดั่งสมัยนี้ มีดอกพ่อมีแต่ไฟกระบองไต้ ไผมันปันจูดวางไว้ทาง 4 ด้าน กะยืนฮ้องโอ่ลำ การก้าวล้ำมาใส่สมัยสอง มีตะเกียงพายุใสผามน้ำมันไต้ ทันสมัยในการลำการร้อง มีดิออนแต้มแต การประชันขันแข่งล้วนทวีรุดหน้าไปเรื่อยบ่เซา นี้แต่เค้าลำคู่ลำกลอน มีปราชญชันบัณฑิต คิดกลอนสำนวนต้าน เปิดตำนานไตรปิดก ครองเค้าองค์พุทธโธสอนสั่ง นี้ ปราชญแต่หนหลังเผินได้เขียนขีดแต้ม ความเว้ากะค่องคือ บัดสู่มือมาลำใส่เสียงกลอง มีตระโพนตีสับเบรทพินคะนึงก้อง ลำดอกพ่อให้ผองทังศรัทธาไท้ สิเลือกฟังแนวได๋ฟังทุกอย่าง ศิลปินต่างหลายแขนแต่งเพิ่มบ่มีได้ฮ่อนเซา พวกหมู่เจ้าให้เลือกบ่อนมันดี ไตร่ครวญสำนวนเห็นบ่แหม่นเอาแต่แนวพาเริ่งรื่น ลำไปจนบ่อนมันมีสาระหมด มวนสาระต่าง ๆ มวนคติบ่ได้แนวนั้นกะห่อนมี โลกยุคนี้ปิ้นปั่นหันไกลคติในการลำคู่กันเสมอด้าน แต่งไปตามยุคโลกาหมุนติ้ว กาบกวีก็ลิวไปพร้อมบ่มีห่าง มวนเหตุการณ์ต่าง ๆ มนุษย์คนโลกใต้บ่เห็นห้องป้องธรรม บัดนี้ช้ำสิขอยกอุทาหร เป็นบทกลอนความหมาย อุปมาบทกวีเขียนแต้ม ยออัญชะลีเบื้องบาท มวนนักปราชญผู้ฮู้ในครูไว้ไตร่ควร ทุกสิ่งล้วนคงฮู้ป่องเห็นจริง หากอิงในหลักธรรมพุทธองค์ทรงชี้ ว่าอัคคีมลัยกันลามไหม้ ใจคนปิ้นปั่น ตกฮอดปลายสองพันยังกะแดดั่นดิ้น บ่มีสิ้นส่วงเซา พวกหมู่เจ้าซอมเบิ่งคนเห็น เป็นดั่งในคำภีเผิ่นจาหรือไม่ ไฟมลัยดอกพ่อลุงมาหุ้มชุมคนบ่ได้อยู่ แบ่งเป็นพวกเป็นหมู่ มนุษย์สาโลกใต้ไฟฮ้อนจี่ลน แตกโจ้น ๆ มึงหนึ่งกูสอง หวังยึดครองแดนดิน ข่าวคาวคงฮู้ สิทธิล้างครู บัดนี้มาเถิงแล้ว ดั่งคำจากพุทธโธวาท ศาสนาเคิ่งข้อนมาแล้ว พ่อลุงต่างก็มุ่งยาดแย่งชิงกัน คันกูดันมึงตักฝ่ายธรรมบ่เคยกั้ว มีแต่มัวยาดแผ่นหนังหมายแพ้งคือจั่งหมาบักแดงปัตแสนเจ้า พระทัยหวั่น ทรงสุบินความฝันต่างชิงกันมาตฮ้ายหมายขึ้นแท่นคำ บัดสิช้ำโตหวก แหม่นนาหมา ยอดปันปลานัวเนียเขี่ยหาบ่มีได้ หลงคัวไปทางหน้าปลา ผัดว่าเต่า แนวสองตาบอดเบื้องบ่เห็นฮู้ฮ่อมได๋ ผู้สิได้แหม่นบ้าโกก นาโถ คอบตัณหามาปิด หน่วยตาสองเบื้อง เมืองฮนฮ้อนก็ไฟเกี้ยวกราด โลกธาตุแตกม้างลมสิ้นหมุ่นมี ออกจากนี้อลหม่านโกลาหน คนบ่ฟังคำสอน สิแบ่งเมืองปันบ้าน เคิงกาล ดอกโลกาสุดท้ายคือพุทธองค์เจ้าทำนายเว้าว่า คนบ่มีศาสนา หาแต่แนวแต่เอ้ งามพร้อมแต่กาย ใจนั้นได้เหม็นขื่นเหลือแต่เฮียนพาสูง ดอกทั่วโลกาใต้ ใจดำปี้คือกาแสนต่ำ องค์พุทธจอมธรรมเผิ่นทำนายกล่าวอ้างปรางกี้ก่อนมา เจ้าหน่อฟ้าสิยำฝ่ายทางขุน ขุนทำการวางแผนครอบครองเมืองบ้าน เถิงแก่การพวกหมู่ชนชาวค้า เงินตรามีอำนาจ พวกอำมาตสิหลงลืมไพร่ฟ้า หลงโอ้อ่าวกระสรร ฮอดบ่อนบั้นอำมาตเหล่าลืมครอง หนีไปปองยังยศสินั่งเตียงเฮียงเจ้า คาวดอกพ่อ คาวขุนเอา ตรวนโซ่สุบคอให้แต่หมู่ บัดเจ้าของผัดแห่งหลู่ ฮ้ายกั่วควายบ้าครั้ง เมืองบ้านจั่งหมุ่นเพ ฝูงหมู่คนได้พากันแล่นเย้บ่อฮู้ป่องคลองผิด บ่ตรึกตรองครวญคิดสิ่งได๋ที่ควรแก้ ว่าแต่ขุนพาย้ายเป็นตายบ่ได้ว่า แหม่นเห็นเมืองว่าแหม่นป่า เปรียบคือตาบอดเบื้องบ่เห็นฮู้ห่อมทาง ตกหว่างวังสิม้างเมืองสิแตกเพพังอำมาตขุนพาผิดไพร่เมืองสิตายม้วย ตกหว่างละโอ๋นอควายเถิกตู้สิบุชนแค้นคั่ง สาวสนมในวังสิได้แล่นหอบสิ้นไปช้นอยู่ป่าหนา ใจขุนนางต่ำคือดั่งขี้ข้า ถือตั้งแต่กฎหมาย อำมาตรวังผัดขนขวายหาทรัพย์แต่งองค์ทรงเอ้ เถิงแล้วพุทธองค์ทรงไว้ในโบราณขานกล่าว ตกดอกพ่อตกหว่างขุนสิไลเผ่า อำมาตไลไพร่ฟ้าประชาได้รับกรรม ฮอดบ่อนช้ำหงส์หน่อเหนือกษัตริย์ ลงจากเวียงวังทองดั่งชนเสมอด้าน เป็นไปตามคือเผิ่นทำนายไว้บ่ผิดเลยจักบ่อน พุทธโธวาทแต่ก่อนพระสุบินจมเจ้าปัสเสนได้กล่าวถาม ต่อจากนี้มวนบุตรตาสิล่วงข้าม บ่คือฮีตคำสอน บ่ฮู้คุณมารดรผู้เพียรถนอมเลี้ยง เพียงดอกพ่อ เพียงว่าไวเจริญขึ้นสิหนีไกลพ่อแม่ นั้นหากล้วนตั้งแต่ จิตใจเขาบ่กล่าวเอื้อพระธรรมไว้ใส่ใจ จิตใจคนบ่ได้ซึมซึบไว้พระไตรรัตนพรมวิหาร คือดั่งเสาศิลาหิน คู่โลกากว้าง ธรรมทั้งปวงเปรียบคือธรรมศิลห้า ประดุจดั่งหลังคา มุงโลกให้คนอยู่ มวลสัตย์โลกมุ่งสู่ช้นชายคาแห่งนี้เดิมครั้งก่อนมา พายพากหน้าคนบ่เล่ามองเห็น คอบตัณหามาปิดมืดมัวฟันด้าน เถิงแก่กาลประตูศาลบานกว้าง ท่ายพญายมโลก สิเปิดศาลอ่านไว้ให้คนได้ท่องเที่ยว ฮอดบ่อนเชี้ยวโลกสิเปลี่ยนผลันแปร ตามกระแสวังวนพุทธองค์วางไว้ ไผผู้มีศิลค้ำประตูธรรมจั่งสิเปิด มวนนอกเหนือส่งย้ายไหลเข้าสู่อะภูมิ ฮอดบ่อนจุ้มธรรมชาติสิแปรปวน ตามกระบวนสามรคอบเวรทำไว้ ไผต่อไผได้ฮำไฮหลงช้นคนในโลกลุ่ม ย้อนพากันคิ่มคุ่มในหล้าบ่เกื้อจมดิ้มหมุ่นมี นอกจากนี้ธรรมชาติสิกลำสวน มวลหมู่ดินดอนหักหมุ่นทะลายเพม้าง เดียวนี้ขางของมวนโลกาไต้สิเคิงวันขันแตก สิแยกเป็นชิ้น ๆ ลงน้ำแม่นที นอกจากนี้ปลาสิลั่งกินดาว มวนหุบเขาเหวหินสิจุ่มลงพายพื้น ผืนเมืองตั้งสิกายเป็นเกาะก่าย คนสิตายเถื่อละล้านจนเหม็นน้ำเคื่อนคาว นี้เผิ่นเว้าตั้งแต่เก่าโบราณ ในคัมภีร์จารึกเรื่องราวเอาไว้ ผู้สนใจให้เบิ่งในหัวข้อโบราณเปิดอ่าน ชื่อว่าพงศาวดาร เรื่องราวห้าพระเจ้ากาลครั้งก่อนมา ภายพากหน้าแห่งสิติ่วเป็นติ่วลิวเข้าปี 3000 สนั่นนองกองก้น บ่องคนดอกพ่อคนบ่อจักศิลห้า ในครองพุทธบาท บ่มีชาติเผ่าเชื้อ เหนือไต้ทั่วกัน ฮอดบ่อนบั้นลูกบ่ต่าวหวนหา ทังบิดามารดา ย่า ลุง ฝูงเชื้อ เหลือดอกพ่อ เหลือแต่ตกวิดท้อง ของคนผู้เป็นแม่ จักแตกไปใสแน่ มีสถานชุบเลี้ยง ให้สูงกล้าแห่งไว ในยุคนี้บ่มีดอกคนดี ทรพีมาขวิดไล่ชนลุงป้า บิดาพร้อมมารดาหากเดียวดั่ง เขาบ่ฮู้ความหลัง ผู้ได๋เป็นแม่แท้ ถนอมได้ใหญ่มา คันใหญ่กล้าหน้าพ่อบ่เคยเห็น จั่งได้มาชนขวิดชาติสกุลบ่เคยฮู้ บุไปหน้าทรพีชนพ่อ ศาสนาจั่นจ้อเลยเข้า 4000 ในยุคนั้นสิคือดั่งสัตว์สา ศาสนาบ่มีในโลกคนภายพื้น วันคืนมื้อหากินดิ้นดั่น คนสิเสพสมกันบ่มีพี่และน้องพอด้ามไก่กา ภายพากหน้าโลกสิก่ายหมุนไวสลายเป็นของเหลวโลกคนภายใต้ ไผมันนั้นบ่เถิงกาลสิดินดั้น หากเอิ้นพุทธอวสาน กาลพระองค์เผิ่นขีดไว้ปรางครั้งก่อนหลัง ต่อจากนั้นมวลศูณโอจั่งสิตั้ง ปิ้นปั่นหันกลับ จักเกิดมีหินดินดั่งเดิมดาเค้า พวกคนเฮาผู้ทำกรรมดีไว้สิหวนคืนโลกใหม่ ผู้ทำกรรมชั่วไว้ยังค้างอยู่ขุม ฮอดบ่อนนั้นยอดคีบั้งจุ้มสิเปิดป่องแถลงกาล พระศรีอาน สิลงมาโปรดคนภายใต้ พ่อศรัทไทยให้พากันแปลงสร้างทางดียังเปิดป่อง ฝูงศรัทธาพี่น้องฟังแล้วให้จื่อจำ
หมายเหตุ : กลอนลำอาจไม่ตรงกับเสียงที่หมอลำร้อง อาจเปลี่ยนไปตามลีลาของหมอลำแต่ละคน
หมอลำกลอน (ฝ่ายชาย) : นายทองคำ วงษาคำ อำเภอน้ำยืน จังหวัดอุบลราชธานี
หมอลำกลอน (ฝ่ายหญิง) : นางสาวอรทัย ซึมรัมย์ อำเภอน้ำยืน จังหวัดอุบลราชธานี