เย็นวันหนึ่ง ดิฉันออกจากบ้านเพราะมีนัดว่าจะไปทานอาหารค่ำกับเพื่อน วันนั้นกว่าจะถึงบ้านเพื่อนก็เสียเวลาล่าช้าไปมากเพราะดิฉันไม่มีรถส่วนตัว ไม่อยากนั่งแท็กซี่ ไม่ใช่ว่าจะเสียดายเงินเพราะบางครั้งไปพบคนขับดีก็ดีไป แต่บางครั้งก็ไปพบคนขับที่มีนิสัยกิริยาหยาบคาย พูดจาก่อกวนให้อารมณ์เสีย และส่วนมากไม่ยอมคิดราคาตามมาตรวัดระยะทาง ดิฉันจึงต้องนั่งรถประจำทางซึ่งจะเอาตามใจเราไม่ได้ ช้าบ้างเร็วบ้าง หยุดบ้างไปบ้าง เพียงแต่รอรถผ่านมาแต่ละคันก็เสียเวลาไม่น้อย กว่าจะขึ้นได้ต้องมีความอดทน เพราะส่วนมากคนแน่น ฉะนั้น เมื่อดิฉันลงรถหน้าปากซอยเข้าบ้านเพื่อนก็ล่าช้าไปเกือบครึ่งชั่วโมง แล้วยังต้องเดินเข้าซอยอีกไกล เมื่อดิฉันไปถึงหน้าบ้านเพื่อนก็เป็นเวลาย่ำค่ำ เข้าไต้เข้าไฟแล้ว ก่อนจะเข้าบ้าน ก็มองเห็นเด็กชายวัยรุ่นยืนร้องไห้อยู่ข้างรั้วกระซิก ๆ เมื่อเดินเข้าไปใกล้พอมองเห็นลาง ๆ ก็จำได้ว่าเป็นลูกชายของเพื่อน ครอบครัวนี้ดิฉันรู้จักดีทุกคนเพราะเราไปมาหาสู่กันเสมอ ดิฉันจึงถามว่า “ทำไมหลานมายืนร้องไห้อยู่ข้างรั้ว ทำไมไม่เข้าไปในบ้านล่ะ หลานถูกคุณแม่ตีหรือ” เด็กสะอื้นแล้วบอกว่า “เปล่าครับคุณป้า ผมไม่ได้ถูกตี แต่ผมเข้าบ้านไม่ได้” ดิฉันจึงบอกว่า “ทำไมเข้าบ้านไม่ได้ ดูซิเนื้อตัวมอมแมมสกปรก หลานไปทำอะไรมา ป้าจะเข้าไปในบ้านหาคุณแม่ มาไปกับป้าเถิด” พูดแล้วดิฉันก็เดินตรงเข้าไปคว้าข้อมือแก หวังจะจูงเข้าไปในบ้าน แต่แกคอยถอยหลังหลบออกห่าง ไม่ยอมให้ดิฉันเข้าใกล้ ปากแกก็บอกว่า “ไม่ครับ ไม่ครับ คุณป้าผมเข้าไม่ได้ ผมไม่เข้า ผมเข้าไม่ได้” แล้วแกก็ร้องไห้สะอื้นพลางพูดทั้งน้ำตาว่า “คุณป้าช่วยบอกคุณแม่ด้วย ผมขอลาแล้ว” ดิฉันก็สะดุ้ง นึกแปลกใจที่เห็นกิริยาท่าทางคำพูด คิดว่าเกิดเรื่องร้ายแรงจึงไม่ยอมเข้าบ้านพร้อมกับดิฉัน คงกลัวจะถูกคุณแม่ดุหรือถูกเฆี่ยนตี แต่ก็คิดสงสัยว่าเพื่อนดิฉันคนนี้เป็นคนรักลูกตามใจลูกมาก ไม่น่าจะเป็นไปได้เลย แต่ก็คิดว่าเมื่อดิฉันได้พบกับแม่ของเด็ก แล้วจะบอกให้คนออกมารับแกเข้าบ้าน คงจะรู้เรื่องดี เมื่อเข้าในบ้านก็ได้พบกับเพื่อนเก่า ๆ ๕-๖ คน มาอยู่พร้อมหน้ากันแล้ว เราเคยเรียนร่วมชั้นมาก่อน เมื่อได้พบกันก็มีความดีใจ เพื่อน ๆ และผู้เป็นเจ้าของบ้านต่างก็ร้องทัก ต้อนรับด้วยความยิ้มแย้มสนุกสนานเป็นกันเอง ดิฉันจะหาโอกาสพูดถึงเด็กลูกชายเจ้าของบ้านยืนร้องไห้อยู่ริมรั้ว ก็ยังไม่เหมาะกับเวลา ก็สนุกเฮฮากันถึงเรื่องต่าง ๆ เมื่อดิฉันได้คุยกับเพื่อน ๆ ไม่นานก็มีโอกาส จึงบอกกับเพื่อนผู้เป็นเจ้าของบ้านว่า “นี่เธอ เมื่อฉันจะเดินเข้าบ้าน ฉันพบลูกชายเธอยืนร้องไห้อยู่ริมรั้ว จะเรียกแกให้เข้ามาในบ้านพร้อมกัน แกไม่ยอม จะฉุดแกก็ถอยหนี เธอให้ใครไปพาแกเข้ามาทีเถิด กลางค่ำกลางคืนปล่อยให้แกร้องอยู่ทำไม”เพื่อนเจ้าบ้านผู้เป็นมารดาของเด็กได้ฟังดิฉันพูดเช่นนั้นก็หน้าตื่น แล้วร้องบอกว่า “อะไรกัน ลูกฉันแกอยู่เสียเมื่อไหร่เล่า ไปทัศนาจรทอดกฐินกันแต่เช้ามืดกับเพื่อน ๆ กำหนดจะกลับมาถึงบ้านพรุ่งนี้เย็น แกจะกลับมาก่อนได้อย่างไร ตาเธอจะฝาดกระมัง” เพื่อน ๆ พากันสนใจที่เราโต้ตอบกัน ดิฉันจึงบอกว่า “ตาฉันไม่ฝาดแน่ เด็กอื่นเขาจะรู้จักฉันได้อย่างไร เธอให้คนไปดูที่ริมรั้วซิ หรือเราไปดูด้วยกันจะได้หายสงสัย ไม่ต้องเถียงกัน” หลังจากนั้นเราก็วิ่งบ้างเดินบ้างออกไปนอกบ้านที่ริมรั้ว โดยมีดิฉันเป็นผู้นำ แต่แล้วก็แปลกใจ เพราะต่างก็ไม่พบใครอยู่ในบริเวณนี้เลย แม้แต่เราจะได้ค้นหาให้กว้างออกไปก็ไม่มีวี่แวว ทำไมจึงหายไปเร็วนัก ทุกคนก็ลงความเห็นว่า ดิฉันตาฝาดแน่ ทำให้ดิฉันน้อยใจที่ไม่สามารถพิสูจน์ความจริง จึงไม่มีใครเชื่อ ทั้งที่เขารู้ว่าดิฉันไม่เคยปดมาก่อนเลย หลังจากนั้นเราก็ได้เริ่มลงมือกินอาหารกัน แต่ดิฉันรู้สึกไม่มีความสุขใจชอบกล กินอะไรไม่ค่อยลง เพื่อน ๆ คุยกันที่โต๊ะอาหาร ดิฉันรู้สึกตัวว่าขาดความสนุกสนานลงไปมาก เสียงโต้ตอบสนทนาของเพื่อน ๆ ที่ดิฉันได้ยินเบาเหมือนอยู่ไกลอดคิดไม่ได้ว่าทำไม ดิฉันรับว่าตาไม่ฝาดคิดแล้วไม่สบายใจ ทุกคนเขาคุยกันเรื่องอะไร ดิฉันก็ไม่รู้ไม่สนใจ แต่แล้วสิ่งประหลาดที่ไม่เคยนึกก็เกิดขึ้น คือ เสียงสุนัขในบ้านมีอยู่ ๓ ตัว ก็ช่วยกันหอนเสียงโหยหวนเยือกเย็นขึ้นมา ท่ามกลางซึ่งทุกคนกำลังสนทนากัน ทุกคนได้ยินต่างก็สะดุ้ง ดิฉันเสียวแวบขึ้นสันหลัง ผู้ที่นั่งคุยสนทนากินอาหารพลางต่างหันมามองตากันแล้วก็นิ่ง หน้าตาตื่น ดิฉันนึกในใจว่าสิ่งที่ดิฉันเห็นนั้นไม่เป็นมงคลเสียแล้ว เสียงคนรับใช้ออกไปดุและไล่ตีสุนัขไม่ให้มันหอน เพราะเสียงมันเยือกเย็นเข้าไปจับขั้วหัวใจ แต่ห้ามมันทางนี้มันก็ไปหอนทางโน้น มันไม่ยอมหยุดหอน ห้ามตัวนี้โดยฉวยไม้ไล่ตี แต่ตัวอื่นมันก็หอนต่อ ดิฉันรู้สึกมันหนาวจะเป็นไข้ ในบ้านคงมีแต่ผู้หญิง ข้างล่างมีคนทำสวนคนหนึ่งอายุมากแล้ว พ่อบ้านก็ยังไม่กลับ เมื่อเราอยู่กันตามลำพังผู้หญิงความอบอุ่นก็มีน้อย ดิฉันสารภาพจากใจจริงว่าดิฉันกลัว แต่ก็ไม่แสดงออกมาภายนอก และรู้สึกว่าเพื่อนก็อยู่ในสภาพไม่ผิดกว่าดิฉัน รู้สึกเราปิดความเป็นจริงกันไว้ภายใน ท่านคงติดิฉันว่าเป็นคนอ่อนแอ เพียงแต่สุนัขหอนก็กลัวแล้ว ความจริงดิฉันเป็นคนเข้มแข็งไม่กลัวอะไรง่าย ๆ โดยไม่มีเหตุผล ครั้งนี้มีหลายอย่างประกอบกับเสียงที่เยือกเย็นจนขนลุก ทำให้ดิฉันคิดไปต่าง ๆ ในทางอกุศล เราดูหน้ากันต่างก็ซีดไม่มีสีเลือด สำหรับเพื่อนผู้เป็นเจ้าของบ้านนั้นทำท่าจะเป็นลม พอเสียงหอนของสุนัขสงบลงแล้ว ก็ได้ยินเสียงรถยนต์ ดิฉันมองดูหน้าเจ้าของบ้านรู้สึกว่ามีสีเลือดขึ้นหน่อย พวกเรารู้สึกอุ่นใจขึ้นมาทันที เราเริ่มแสดงกิริยาร่าเริงต่อ เพื่อปกปิดความรู้สึกภายใน ไม่ช้าเราก็มองเห็นไฟหน้ารถกราดเข้ามาในประตูบ้าน รถยนต์เลี้ยวเข้ามาก็จอดนิ่ง ดับโคมไฟ ดับเครื่อง แล้วก็มีชายแต่งกายเรียบร้อยเดินเข้ามาบนบ้าน เข้ามาในห้องรับแขก เมื่อเห็นพวกเรากำลังกินอาหารค้างอยู่ ก็ชะงัก กล่าวคำขอโทษที่เข้ามาขัดจังหวะ พวกเราต่างทำความเคารพสามีเจ้าของบ้าน และได้รับการเคารพตอบ สีหน้าแสดงความยุ่งยาก มีความกังวลใจ เราก็ใจคอไม่ดีอยู่แล้วก็ทำให้ไม่ค่อยสบายใจ แต่แล้วสามีของเจ้าของบ้านเปลี่ยนความรู้สึกทันที สีหน้าก็ยิ้มต้อนรับพวกเราเป็นอันดี กิริยาลุกลนเมื่อครู่นั้นหายไป แสดงเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น พวกเราก็ค่อยมีความสบายใจ เกิดความยิ้มแย้มขึ้นมา แล้วเราก็ได้กินอาหารต่อพร้อมกับพ่อบ้านอยู่จนเวลาพอสมควร เราต่างก็ได้ลาเจ้าของบ้านกลับด้วยความไม่ค่อยสบายใจนัก เพื่อนคนหนึ่งจะอาสาขับรถมาส่งถึงบ้าน แต่ดิฉันเห็นว่าบ้านเราอยู่กันคนละทิศละทางไม่ใช่ทางผ่าน ดิฉันจึงขอลงปากซอย ตกลงเพื่อนผู้ใจดีก็ยอม ดิฉันคว้ากระเป๋าถือติดมือลงมาด้วย เมื่อลงจากรถแล้ว ตั้งใจจะคอยบนรถประจำทางเพราะยังไม่ดึกมากนัก แต่รู้สึกกระเป๋าที่ดิฉันถือนั้นมันหนักผิดปกติ จึงหยิบขึ้นมาดูแล้วเปิดออก ดิฉันต้องตกใจ ตายแล้ว ดิฉันเอากระเป๋าของใครมีเงินอยู่ภายในมาก มันไม่ใช่ของดิฉัน แต่รูปร่างภายนอกเหมือนกันทุกอย่าง แต่มันไม่ใช่ของเรา นึกได้ว่ามันเป็นของเพื่อนผู้เป็นเจ้าของบ้าน ดิฉันไม่รู้จะทำอย่างไรดี อ่านต่อ…
ท. เลียงไพบูลย์. (2512). กฎแห่งกรรม. พระนคร : รุ่งเรืองธรรม.